คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง – สัญญาไม่มีผลบังคับ – ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลตามวิธีธรรมดา จำเลยขอถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา จำเลยไม่แสดงเหตุผลประกอบอ้างอิงในการยื่นฎีกา ฎีกาจำเลยในปัญหาดังกล่าวเป็นฎีกาไม่แจ้งชัด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยเกินคำฟ้องและขอบเขตการพิจารณาโทษในศาลฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันใช้ด้ามปืนยาวเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายเจ๊ก นายพวง และนายจันทร์หลายครั้งโดยเจตนาจะฆ่าคนทั้งสามให้ตาย ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 288, 83 เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ศาลจะลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้ เพราะเกินคำฟ้อง
ปัญหาเรื่องลงโทษเกินคำฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี 2 กระทง ส่วนอีกกระทงหนึ่งจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3297/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเอกสารและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารครบถ้วน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินของวัด ได้บังอาจร่วมกันปลอมเอกสารคือใบเสร็จรับเงินของคณะกรรมการวัดขึ้นทั้งฉบับ เพื่อรับเงินบำรุงวัดไปโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น และจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของตนเองโดยทุจริต อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรรมการวัด และเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ว่าราชการจังหวัด และประชาชนทั่วไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157 และ161ดังนี้ ถือได้ว่า โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 ไว้ครบถ้วน และประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวด้วย เมื่อได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ จึงลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094-3117/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกในที่ดินวัดและประเด็นการเกินคำขอ/นอกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัด อันเป็นศาสนสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกแต่ละสำนวนนั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ 1,000 บาท เมื่อเทียบกับจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าวพอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา จำเลยแต่ละสำนวนมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาทคดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไป จากอาคาร ไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยุ่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094-3117/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่บุกรุกที่ดินวัด และการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัด อันเป็นศาสนสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกแต่ละสำเนานั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ 1,000บาท เมื่อเทียบกับจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าว พอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา จำเลยแต่ละสำเนามิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาทคดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยู่ ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะนิติบุคคลของหน่วยงานราชการ และการฟ้องคดีสัญชาติ: ศาลฎีกายกฟ้องเนื่องจากจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษาเรื่องสัญชาติไม่ได้
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 5 กำหนดให้กรมตำรวจมีฐานเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมตำรวจออกเป็นกองตามข้อ 31 มิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ แต่เป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
หนังสือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้ามืองที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอและแจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ดังนี้ เท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่น และได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 ซึ่งใช้อยู่ในขณะโจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ จึงไม่อาจวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะนิติบุคคลของกองตรวจคนเข้าเมือง & การพิสูจน์สัญชาติ - ศาลฎีกายกฟ้อง
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 5 กำหนดให้กรมตำรวจมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมตำรวจออกเป็นกองตามข้อ 31 มิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
หนังสือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอและแจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ดังนี้ เท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่น และได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493มาตรา 43 ซึ่งใช้อยู่ในขณะโจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ จึงไม่อาจวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2979/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมราชการในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังแล้ว
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาแล้วว่า จำเลยใช้เอกสารปลอมในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และลงโทษจำเลยยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาว่ามิได้ใช้เอกสารปลอมในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
บัตรประจำตัวข้าราชการ เป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นในหน้าที่การปลอมเอกสารดังกล่าว เป็นการปลอมเอกสารราชการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2979/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมราชการก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาแล้วว่า จำเลยใช้เอกสารปลอมในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและลงโทษ จำเลยยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาว่ามิได้ใช้เอกสารปลอม ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็น การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
บัตรประจำตัวข้าราชการ เป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้น ในหน้าที่การปลอมเอกสารดังกล่าว เป็นการปลอมเอกสารราชการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2964/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องเลือกตั้งใหม่เคลือบคลุม ศาลฎีกายกคำร้องเนื่องจากขาดรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจน
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 79 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง และมาตรา 1 (3) คำร้องที่ผู้ร้องขอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ด้วย
ผู้ร้องกล่าวในคำร้องแต่เพียงว่า ก. เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งในเขตอำเภอด่านขุนทดและอำเภอปักธงชัย ทำบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งใหม่โดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งไม่ได้ ในเขตอำเภอด่านขุนทดประมาณ 6,164 คน และในเขตอำเภอปักธงชัยประมาณ 8,630 คน ข. เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งกรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนในเขตอำเภอปากช่องและอำเภอสีคิ้วฝ่าฝืนกฎหมายอนุญาตให้ผู้เลือกตั้งซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนหมดอายุเกินกว่า 60 วัน ลงคะแนนเลือกตั้ง และ ค.กรรมการเลือกตั้งเขตอำเภอด่านขุนทดบอกและจูงใจผู้เลือกตั้งให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเลขหมายประจำตัว 10 และ 11 ผู้ร้องมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้แจ้งชัดว่าเจ้าพนักงานคนใดเป็นผู้กระทำการเช่นว่านั้นและได้กระทำการนั้นในหน่วยเลือกตังใด การที่ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่ามีการกระทำในเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอปักธงชัย อำเภอปากช่องและอำเภอสีคิ้วนั้น มิได้หมายความว่ามีการกระทำในทุกหน่วยเลือกตั้งในแต่ละอำเภอนั้น และผู้ร้องมิได้บรรยายว่าได้มีการบอกและจูงใจผู้ใดให้ลงคะแนนเลือกตั้งผู้รับสมัครเลือกตั้ง หมายเลข 10 และ 11 ส่วนคำร้องข้อ ง. นั้น ผู้ร้องกล่าวแต่เพียงว่า นายประสารใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งเกิน 350,000 บาท มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงโดยแจ้งชัดว่า นายประสารใช้จ่ายในกิจการอย่างใด พอที่จะให้ผู้คัดค้านเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในกิจการใด และเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือไม่ ดังนี้ เห็นว่า คำร้องของผู้ร้องทุกข้อไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
of 344