คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข่มขืน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 436 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4641/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์, ข่มขืน, หน่วงเหนี่ยวกักขัง: ผู้เสียหายไม่เต็มใจ การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ยินยอมไปกับจำเลยกับพวกก็เพราะถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่ง แต่จำเลยกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก แต่ความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4641/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์, ข่มขืน, และหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดยหลอกลวงและใช้กำลัง
ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ยินยอมไปกับจำเลยกับพวกก็เพราะถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่ง แต่จำเลยกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318วรรคท้าย
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรกแต่ความผิดตามมาตรา310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4599/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำทางเพศ: การจิ้มอวัยวะเพศไม่ถือเป็นความพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
จำเลยอุ้มเด็กหญิง ว. ผู้เสียหายอายุ 8 ปีเศษไปนอนบนที่นอนแล้วดึงกางเกงผู้เสียหายรูดลงมาที่เข่าโดยมิได้ถอดออกจากตัวผู้เสียหายและมิได้จับขาผู้เสียหายถ่างออก จำเลยเองก็มิได้ถอดกางเกงของตนออกแต่ได้ล้วงเอาอวัยวะเพศของจำเลยออกมาทางขากางเกงขาสั้นแล้วเอาอวัยวะเพศนั้นจิ้มตรงอวัยวะเพศของผู้เสียหายครั้งเดียวในขณะที่ขาของผู้เสียหายแนบชิดติดกันอยู่ดังนี้ลักษณะการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายได้และจำเลยก็มิได้พยายามที่จะเอาอวัยวะเพศของจำเลยใส่เข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย จำเลยคงมีเจตนาเอาอวัยวะเพศของจำเลยจิ้มให้ถูกอวัยวะเพศของผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานกระทำอนาจารไม่ผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4536/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี: พยานหลักฐานมั่นคงบ่งชี้จำเลยเป็นผู้กระทำผิด
ผู้เสียหายอายุ 13 ปี ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้คอและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ในที่เกิดเหตุมืดแม้ผู้เสียหายไม่เห็นหน้าคนร้าย แต่จำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของจำเลยผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยผู้เสียหายเป็นบุตรแม่เลี้ยงจำเลย ส่วนจำเลยเป็นบุตรพ่อเลี้ยงผู้เสียหายแม้จำเลยจะเบิกความว่าไม่ค่อย ได้พูดกับผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีเรื่องโกรธเคืองจำเลยจึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหา การที่ มารดา ผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความว่าคืนเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าใครทำ อาจเป็นการช่วยเหลือจำเลยเพราะพยานเป็นมารดาเลี้ยงจำเลยและอาศัยอยู่กับบิดาของจำเลย ย่อมจะต้องมีความเกรงใจบิดาจำเลยเป็นธรรมดา การที่ผู้เสียหายไปแจ้งความช้า ก็เพราะเห็นว่าพึ่งพามารดาไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องไปหา ว.น้าชาย ให้ช่วย พาไปแจ้งความ ไม่ปรากฏว่า ว. เคยโกรธเคืองกับจำเลยด้วยสาเหตุอะไร ส่วนกางเกงขายาวของจำเลยที่ทิ้งอยู่ในห้องผู้เสียหายแม้มารดาผู้เสียหายจะเบิกความว่าไม่เคยเห็น ก็หาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลมั่นคงบ่งชี้ได้ชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นคนร้าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าข่มขืน ลักทรัพย์ และรับราชการทหารแทนผู้อื่น โดยพิจารณาความผิดหลายกระทงและเจตนาในการกระทำ
การที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งฝ่ายทหารให้มาฟังการสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นทหารตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทยนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมในการกระทำผิดแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธ ดังนั้น การที่พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าว จะถือว่าจำเลยร่วมกับพวกพกพาอาวุธมีดปลายแหลมนั้นไปในทางสาธารณะ ในหมู่บ้านด้วย หาได้ไม่ จำเลยทำร้ายและฆ่าผู้ตายโดยเจตนาให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ดังนี้ การที่จำเลยกับพวกปลดเอาทรัพย์ของผู้ตายก่อนหลบหนีเห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ มิใช่ฐานปล้นทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานข่มขืนฆ่าและลักทรัพย์ ความรับผิดทางอาญาและอัตราโทษ
การที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งฝ่ายทหารให้มาฟังการสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นทหารตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทยนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ
พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมในการกระทำผิดแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธ ดังนั้น การที่พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าว จะถือว่าจำเลยร่วมกับพวกพกพาอาวุธมีดปลายแหลมนั้นไปในทางสาธารณะ ในหมู่บ้านด้วย หาได้ไม่
จำเลยทำร้ายและฆ่าผู้ตายโดยเจตนาให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ดังนี้ การที่จำเลยกับพวกปลดเอาทรัพย์ของผู้ตายก่อนหลบหนี เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ มิใช่ฐานปล้นทรัพย์.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดาน แม้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็มีโทษหนักขึ้นได้ และการนับอายุผู้เสียหายเป็นข้อเท็จจริง
แม้โจทก์จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานอันจะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง เพราะบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้คำว่า 'กระทำแก่ผู้สืบสันดาน' ดังนั้น การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้นั้นจะมิใช่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของ มาตรา 285 นี้แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี และความผิดฐานข่มขืนผู้สืบสันดาน
แม้โจทก์จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์นับอายุของผู้เสียหายคลาดเคลื่อน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามฎีกา
การข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสันดานอันจะต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น หมายถึงการกระทำแก่ผู้สืบสันดานในทางสืบสายโลหิตโดยแท้จริง เพราะบทกฎหมายมาตรานี้ไม่ได้มุ่งลงโทษหนักขึ้นเฉพาะการกระทำแก่บุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงใช้คำว่า 'กระทำแก่ผู้สืบสันดาน' ดังนั้น การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา แม้ผู้นั้นจะมิใช่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้สืบสันดานตามความหมายของ มาตรา 285 นี้แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานข่มขืนจากการตรวจร่างกายและพยานหลักฐานทางการแพทย์
แม้จะได้ความว่าจำเลยถลกกระโปรงและถอด กางเกงในของผู้เสียหาย และจำเลยลงเหนือเข่า โดยจำเลยนอนทับผู้เสียหายและใช้เข่าแยกขา ผู้เสียหายออกก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงจากการที่แพทย์ตรวจร่างกาย ของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุว่า ไม่ปรากฏรอยช้ำของอวัยวะเพศไม่พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารี และไม่พบเชื้อ อสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย ดังนี้ ย่อมแสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยยังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานข่มขืนฯ จากหลักฐานทางการแพทย์และการกระทำที่มิได้ล่วงล้ำทางเพศ
แม้จะได้ความว่าจำเลยถลกกระโปรงและถอดกางเกงในของผู้เสียหายและจำเลยลงเหนือเข่า โดยจำเลยนอนทับผู้เสียหายและใช้เข่าแยกขาผู้เสียหายออกก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงจากการที่แพทย์ตรวจร่างกายของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุว่า ไม่ปรากฏรอยช้ำของอวัยวะเพศ ไม่พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจารี และไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหายดังนี้ ย่อมแสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยยังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น.
of 44