คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ครอบครอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,140 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สนับสนุนการผลิตยาเสพติด: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมว่าจำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการผลิต แต่ไม่มีความผิดฐานสนับสนุนการครอบครอง
เจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่สืบสวนและจับกุมได้ดำเนินงานสืบสวนเป็นระบบขั้นตอนและต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่องนานถึงหนึ่งเดือนครึ่งจึงจับกุมจำเลยแปดคนในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง อีกทั้งในการปฏิบัติงานก็ได้มีการถ่ายรูปและทำรายงานการปฏิบัติงานไว้โดยตลอด ทั้งสารเคมีที่ตรวจยึดได้มีลักษณะเดียวกันกับถังสารเคมีที่มีผู้ไปรับจากจำเลย จึงมีน้ำหนักรับฟังได้แน่ชัดแล้วว่าจำเลยร่วมอยู่ในขบวนการของกลุ่มในการลักลอบผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยสนับสนุนจำเลยแปดคนในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งผลิตเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง ส่วนการที่เจ้าพนักงานมิได้จับกุมจำเลยในขณะที่เห็นเหตุการณ์นั้น เนื่องจากคนร้ายกลุ่มนี้กระทำผิดเป็นขบวนการ การที่เจ้าพนักงานจะเข้าจับกุมทันทีในเหตุการณ์ตอนหนึ่งตอนใดหรือไม่ ย่อมเป็นไปได้ที่จะต้องคำนึงถึงผลสำเร็จในการปราบปรามในภาพรวมทั้งหมดเป็นสำคัญการไม่เข้าจับกุมจำเลยทันทีจึงหาเป็นข้อผิดปกติไม่
จำเลยเพียงแต่จัดหาสารเคมีเพื่อใช้ผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้แก่กลุ่มผู้ผลิต แต่มิได้เข้าไปร่วมผลิตหรือกระทำการใดอันเป็นการสนับสนุนให้จำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่ผลิตขึ้นจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต คงมีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวผลิตเมทแอมเฟตามีน อีกทั้งจะนำพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6(1) มาปรับบทโดยระวางโทษจำเลยเช่นเดียวกับตัวการก็มิได้ เพราะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้อ้างถึงพระราชบัญญัติฉบับนี้มาเป็นบทที่ขอให้ลงโทษจำเลย ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2374/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืนนอกหน่วยงานช่วงลาพักผ่อน ไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการ และมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน
จำเลยนำอาวุธปืนเล็กกลซึ่งมีไว้ในราชการและนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้พร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืนของกลางออกไปนอกหน่วยที่ตั้งซึ่งจำเลยประจำการอยู่ ติดตัวไปเป็นเวลาหลายวันโดยจะต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลออกไปต่างจังหวัด ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยในการยึดถืออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้เพื่อตนโดยมุ่งหวังจะใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนนั้นในทางก่อประโยชน์แก่ตนตลอดระยะเวลาดังกล่าว มิใช่เป็นการมีหรือใช้ในราชการเนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการลาพักผ่อนของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง และมิได้รับยกเว้นตามบทบัญญัติมาตรา 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2346/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองบ้านและที่ดินโดยทายาทหลังนิติกรรมการให้มีผลเกิน 10 ปี ถือเป็นบริวารของผู้รับโอน
จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และได้จดทะเบียนโอนบ้านเลขที่ 103/9 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 21740 ให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้บ้านและที่ดินดังกล่าวมาโดยมีค่าตอบแทน แม้จะฟังตามที่ผู้ร้องทั้งห้าอ้างว่าโจทก์รับโอนมาโดยทราบว่าบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างนายวิชัยและ นางเพิ่มสุขจดทะเบียนยกให้จำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายวิชัยก็ตาม แต่ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้เพิกถอน นิติกรรมการให้ระหว่างนางเพิ่มสุขกับจำเลย จำเลยผู้มีชื่อในทะเบียนที่ดินจึงยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินดังกล่าว และแม้จะฟังว่านายวิชัยอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างนางเพิ่มสุขกับจำเลยได้ แต่นับแต่ นางเพิ่มสุขจดทะเบียนยกบ้านและที่ดินดังกล่าวให้จำเลยเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2524 ถึงวันที่ผู้ร้องทั้งห้ายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2538 เป็นเวลาเกิน 10 ปี ผู้ร้องทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของนายวิชัยจึงไม่มีสิทธิฟ้อง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างนางเพิ่มสุขกับจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง การที่ผู้ร้องทั้งห้าอยู่ในบ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 21740 ถือว่าอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ผู้ร้องทั้งห้าจึงเป็นบริวารของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีน) ในวาระเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียว
เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างก็เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) ซึ่งกำหนดให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ลำดับที่ 20 ส่วนเฮโรอีนอยู่ในลำดับที่ 14 เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวไว้ในครอบครองในวาระเดียวกัน ดังนั้น แม้วัตถุแห่งการกระทำความผิดจะต่างชนิดกันแต่ก็ต่างเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: ศาลรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ และใช้บทสันนิษฐานตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาเพียงประการเดียวข้อเท็จจริงในความผิดฐานมีอีเฟดรีนเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขายอีเฟดรีนเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดทั้งสองฐานที่ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานดังกล่าวหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 245 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยระบุวรรคสองของมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และปรับบท ป.อ.มาตรา 83 เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นการแก้ไขเล็กน้อย แต่ความผิดฐานนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในความผิดฐานนี้ได้ เมื่อศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ ทั้งประจักษ์พยานและพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีนี้แล้วเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญ ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และบางคนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการไปตามหน้าที่มีการดำเนินการวางแผนเพื่อจับกุมจำเลยเป็นขั้นตอนและจับกุมจำเลยได้พร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก ทั้งไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะทำพยานหลักฐานเท็จปรักปรำกลั่นแกล้งจำเลย เมื่อส่งผงขาวของกลางไปตรวจพิสูจน์แล้ว ปรากฏว่าเป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 มีปริมาณสารบริสุทธิ์หนัก 1,298.2 กรัม เกินกว่า 20 กรัม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคสอง ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทสันนิษฐานโดยเด็ดขาดของกฎหมาย และจำเลยไม่อาจจะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยถูกจับกุมได้ขณะครอบครองเฮโรอีนของกลาง และตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว การกระทำของจำเลยมีลักษณะร่วมกันเป็นขบวนการกับบุคคลจำนวนมากในการค้าขายเสพติด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
การรวบรวมพยานหลักฐานและนำพยานเข้าสืบในระบบกล่าวหา เป็นเรื่องของโจทก์เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้องหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริงได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้องแล้วก็พิพากษาลงโทษจำเลย โดยไม่จำต้องฟังคำเบิกความหรือดูอากัปกิริยาของสายลับก็ได้
แม้โจทก์มิได้นำสายลับมาสืบแสดงให้ศาลได้พิจารณาและวินิจฉัยคำเบิกความและอากัปกิริยาของสายลับ และให้โอกาสจำเลยได้ถามค้านค้นหาความจริงเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาของโจทก์ ก็หาได้ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์อื่น ๆมีพิรุธสงสัยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินงอก: การครอบครอง, สาธารณสมบัติ, และระยะเวลาการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งที่น้ำท่วมถึงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2)ที่พิพาทเพิ่งกลายเป็นที่งอกหลังจากมีการสร้างถนนเมื่อ 4 ถึง 5 ปี มานี้ ดังนั้นก่อนหน้าที่พิพาทเป็นที่งอกแม้โจทก์จะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่งอกที่เชื่อมติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่งอกพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ครอบครองยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองและจำหน่าย ศาลฎีกาแก้ไขโทษและคำสั่งริบของกลาง
เมื่อเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เหมือนกัน การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนธนบัตรของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาเพราะกระทำความผิดคดีนี้ จึงไม่อาจริบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1170/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเหนือพื้นดิน-บอกเลิกสัญญา-การครอบครอง-ความเสียหาย-การแจ้งความ
การที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการเพาะชำต้นกล้ากระท้อนเป็นการยอมให้โจทก์เข้าใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยเป็นการชั่วคราวในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดิน ซึ่งเป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่ง ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ระบุว่าจำเลยยอมให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินโดยไม่มีกำหนดเวลาไว้ หากจำเลยต้องการที่ดินคืนวันใดจะแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควรโจทก์จะอ้างว่าในการเข้าใช้ที่ดินเพื่อเพาะชำต้นกล้ากระท้อนย่อมเป็นที่รู้กันดีว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ เมื่อเป็นกรณีสิทธิเหนือพื้นดินไม่มีกำหนดเวลาและจำเลยไม่ต้องการให้โจทก์เข้าใช้ที่ดินดังกล่าวต่อไป จำเลยย่อมบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินนั้นได้ จำเลยจึงไม่ได้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์
แม้จำเลยจะบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินของจำเลยภายใน 2 วัน แต่โจทก์ก็ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ตรงข้ามกลับห้ามคนงานไม่ให้เข้าไป และปรากฏว่าโจทก์ได้ขนของออกไปจากที่ดินของจำเลยหลังจากจำเลยบอกกล่าวถึง 1 เดือนเศษ นับว่าจำเลยได้ให้เวลาแก่โจทก์พอสมควรแล้ว ซึ่งโดยปกติเมื่อจำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ขนของออกไปแล้ว โจทก์ไม่ยอมขนออกไปย่อมเป็นการละเมิดต่อจำเลยจำเลยย่อมมีสิทธิไปแจ้งความให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่โจทก์ได้ แม้จำเลยจะแจ้งความระบุถึงเรื่องการที่โจทก์ไม่คืนเหรียญเงินโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่คนงานของโจทก์ขุดดินในที่ดินของจำเลย แล้วทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจนถึงขั้นไม่ยอมอนุญาตให้โจทก์ใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยต่อไปนั่นเอง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด แม้จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความรับผิดในฐานะตัวการ จำเลยต้องแสดงหลักฐานการมอบหมายหน้าที่หรือการครอบครองรถ
ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 และขณะเกิดเหตุได้ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างหรือตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวการ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ฝ่ายเดียวว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดในฐานะดังกล่าวโดยโจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ตั้งเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1ในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยก็เป็นเรื่องนอกประเด็น ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 984/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเรื่องยาเสพติด: การมียาเสพติดเกิน 20 กรัม ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 เป็น ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดของกฎหมายที่ให้ถือว่าถ้ามียาเสพติด ให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มิได้บัญญัติว่าถ้ามีไว้ในครอบครองไม่ถึง 20 กรัม แม้จะจำหน่าย ก็จะฟังว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้
of 214