คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ชิงทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 588 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2161/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากปล้นทรัพย์เป็นชิงทรัพย์เนื่องจากฟ้องไม่ครบองค์ความผิด
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยทั้งสองมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายนั้นไม่ครบองค์ความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่า จำเลยทั้งสองนั่งรถยนต์กระบะซึ่งมีว.เป็นผู้ขับมากระทำความผิด ก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้ แต่ลงโทษฐานชิงทรัพย์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดชิงทรัพย์ ต้องพิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง แม้จะอาศัยรถยนต์เพื่อการอื่นก็ไม่ถือว่าใช้เป็นยานพาหนะ
จำเลยที่ 1 อาศัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปกระทำกิจธุระอื่นโดยมิได้มีเจตนาจะกระทำผิดฐานชิงทรัพย์มาก่อน เหตุชิงทรัพย์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ 1 ลงไปกระทำการขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด การชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์โดยไม่เจตนาใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ และความเกี่ยวข้องของผู้อื่น
จำเลยที่ 1 อาศัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปกระทำกิจธุระอื่นโดยมิได้มีเจตนาจะกระทำผิดฐานชิงทรัพย์มาก่อน เหตุชิงทรัพย์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ 1 ลงไปกระทำการขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด การชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะในการชิงทรัพย์ - การกระทำโดยปัจจุบันทันด่วนและการไม่มีส่วนรู้เห็นร่วมกัน
จำเลยที่ 1 อาศัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปกระทำกิจธุระอื่นโดยมิได้มีเจตนาจะกระทำผิดฐานชิงทรัพย์มาก่อน เหตุชิงทรัพย์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยจำเลยที่ 1 ลงไปกระทำการขณะที่รถยนต์จอดเพราะการจราจรติดขัด ประกอบกับจำเลยที่ 3 ก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด การชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือชิงทรัพย์และพยายามฆ่า: จำเลยต้องรับผิดชอบการกระทำของพวกด้วย
จำเลยกับพวกอีก 1 คน ชิงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ขวางหน้ารถผู้เสียหาย พวกของจำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจำเลยชักอาวุธปืนออกมาและบอกให้ผู้เสียหายหยุด เมื่อผู้เสียหายขัดขวางมิให้จำเลยขับรถของผู้เสียหายไปพวกของจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทันทีและยิงซ้ำอีกแต่กระสุนไม่ลั่น แล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยต้องทราบดีว่าพวกของจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมา โดยจำเลยกับพวกตั้งใจที่จะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมานั้นประหัตประหารผู้ที่ต่อสู้ขัดขืนในการที่จำเลยกับพวกทำการชิงทรัพย์ การที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดอาญา จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความรุนแรงข่มขู่เพื่อกลั่นแกล้ง ไม่ถือเป็นความผิดชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหายเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไปจำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไปที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ: การกระทำด้วยความคึกคะนองและมึนเมาสุรา ไม่ถือเป็นเจตนาลักทรัพย์
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไป จำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไป ที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อหวังข่มขืน ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพและลักทรัพย์
จำเลยให้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายโดยจับมือและบีบคอขู่ไม่ให้ร้องเพื่อความสะดวกแก่การที่จะกระทำผิดในทางเพศ มิได้ประสงค์ต่อทรัพย์เมื่อผู้เสียหายหลบหนีจำเลยจึงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท กระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์คงเป็นความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4441/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงข้อหาเป็นทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉัน สามีภริยาและทำงานอยู่ที่เดียวกัน จำเลยเป็นผู้ซื้อสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหาย บางครั้งจำเลยก็นำไปใช้เอง วันเกิดเหตุจำเลยทราบว่าผู้เสียหายจะไปเที่ยวจึงได้ไปพูดห้ามปราม ผู้เสียหายไม่ยอมเชื่อ จึงเกิดการโต้เถียง กัน จำเลยโมโหจึงดึง สร้อยคอที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดและเอาสร้อยนั้นไป แสดงว่าจำเลยเอาสร้อยไปเพื่อต้องการมิให้ผู้เสียหายนำสร้อยติดตัวไปด้วยเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ จำเลยดึง สร้อยที่ผู้เสียหายใส่อยู่ขาดแล้วผลักผู้เสียหายเซ ไปผู้เสียหายมีบาดแผลเพราะโดน เล็บ ที่หน้าอกแต่โลหิตไม่ไหลเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ตาม ป.อ. มาตรา 391 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งรวมการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ในตัว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาลงโทษฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงประเด็นการลดโทษและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6เดือน เป็นโทษจำคุก29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
of 59