คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทนายความ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 429 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3632/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การในชั้นสอบสวนที่ไม่ต้องปรึกษาทนาย: ศาลรับฟังได้ตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 เป็นบทบัญญัติที่ใช้ในชั้นที่จำเลยถูกฟ้องต่อศาลแล้ว ไม่ใช้ในชั้นสอบสวนคำให้การผู้ต้องหา ทั้งมาตรา 134 และ 135 ก็มิได้บัญญัติว่าการบันทึกคำให้การผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนจะต้องให้โอกาสผู้ต้องหาได้ปรึกษากับทนายความก่อน จึงจะสมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานยันผู้ต้องหาในการพิจารณาคดีของศาลได้ ดังนั้น ศาลจึงรับฟังคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นที่ถูกกล่าวหาได้ แม้จำเลยจะไม่มีโอกาสได้ปรึกษากับทนายความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารกู้ยืมที่ไม่ติดอากรแสตมป์ และอำนาจแต่งตั้งทนายความของตัวแทน
ปัญหาว่าเอกสารหลักฐานแห่งการกู้ยืมมิได้ปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าตามประมวล-รัษฎากร ศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้
ใบยืมของชั่วคราวมีข้อความเพียงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2528 จำเลยยืมเงินไป 40,000 บาท และมีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้รับของ เป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ มิใช่สัญญากู้ยืม จึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์
โจทก์มอบอำนาจให้ ด.เป็นตัวแทนมีอำนาจฟ้องคดี ด.จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความว่าความแทนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดชอบต่อการกระทำของทนายความที่แต่งตั้งในชั้นบังคับคดี
จำเลยได้แต่งตั้ง ล. เป็นทนายความดำเนินการในชั้นบังคับคดีจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่าใบแต่งทนายไม่ถูกต้อง การที่จำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าต่างและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตน จำเลยก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จำเลยจะอ้างว่าทนายของตนดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงโดยจำเลยไม่ทราบเรื่องหาได้ไม่หากทนายจำเลยดำเนินคดีผิดพลาดประการใด ย่อมต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดของจำเลยด้วย จำเลยจึงไม่อาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำคู่ความและกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีที่ ล. กระทำไปแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายนัดพิจารณาคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเป็นต้องส่งไปยังสำนักงานทนายความที่ถูกต้องและปัจจุบัน หากส่งไปยังที่อยู่เก่าที่ไม่ถูกต้อง ถือว่าการส่งไม่ชอบ
จำเลยยื่นคำร้องว่า ทนายจำเลยออกจากสำนักงานทนายความเดิมไปแล้ว และสำนักงานดังกล่าวได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น มิใช่สำนักงานที่เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ทั้งเป็นการย้ายไปอยู่ที่ใหม่ก่อนที่จะมีการปิดหมายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ หากข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องดังกล่าว ย่อมถือไม่ได้ว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยเป็นไปโดยชอบศาลชั้นต้นต้องไต่สวนให้ได้ความว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยโดยชอบแล้วหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดี: เหตุจำเป็นไม่อาจก้าวล่วง & ผลกระทบต่อความยุติธรรม
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนคดีแก่ทนายจำเลยทั้งสามมาครั้งหนึ่งแล้ว ทนายจำเลยทั้งสามจะขอเลื่อนการพิจารณาอีกไม่ได้เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคแรก การที่ทนายจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีครั้งต่อมาโดยอ้างเหตุแห่งความจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ว่าเพราะทนายจำเลยทั้งสามติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งนัดไว้ก่อนและเป็นนัดสุดท้ายฝ่ายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง ดังนั้น ต้องถือว่าทนายจำเลยทั้งสามติดว่าความที่ศาลอื่นจริง ทนายจำเลยทั้งสามย่อมไม่สามารถว่าความสองคดีต่างศาลกันในเวลาเดียวกันได้ นับว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ และเมื่อจำเลยทั้งสามยังไม่ได้เบิกความเป็นพยานตนเอง หากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีย่อมจะทำให้เสียความยุติธรรมแก่จำเลยทั้งสาม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งเลื่อนคดีไปเท่าที่จำเป็นแม้จะเกินกว่าหนึ่งครั้งตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเก่าลงวันที่ไม่สุจริต โจทก์ทนายความรู้เห็นเป็นใจ ฉ้อฉลจำเลย ศาลไม่รับรอง
จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทอันเป็นเช็คผู้ถือมอบให้ ส. ยึดถือไว้เมื่อปี 2516 มีจำเลยที่ 2 สลักหลังโดยไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ต่อมาปี 2529 ส. จึงนำเช็คพิพาทมาจดวันเดือนปีที่สั่งจ่าย แล้วมอบให้แก่โจทก์หลังจากที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้แล้วเป็นเวลานานกว่า 13 ปี ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1ได้ยินยอมให้ ส.ทำเช่นนั้นจะถือว่าส. ได้จดวันเดือนปีที่ออกเช็คพิพาทโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์เป็นทนายความ โจทก์อ้างว่าได้รับเช็คพิพาทมาจาก ส.เป็นค่าว่าความและทราบว่าเช็คพิพาทสั่งจ่ายตั้งแต่ปี 2516 เมื่อลายมือชื่อและสีของน้ำหมึกที่จดวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเช็คพิพาทแตกต่างจากลายมือชื่อและสีของน้ำหมึกของผู้สั่งจ่ายเห็นได้ชัดโจทก์จะต้องทราบข้อกฎหมายว่าผู้ที่จะจดวันเดือนปีที่ออกเช็คพิพาทที่ไม่ได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายได้จะต้องกระทำโดยสุจริต และจดลงตามวันที่ถูกต้องแท้จริง การที่โจทก์ไม่สงสัยว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ใครเป็นผู้สั่งจ่าย และผู้จดวันที่สั่งจ่ายเป็นใครนั้นเป็นการผิดปกติวิสัยของโจทก์ซึ่งมีอาชีพทนายความ โจทก์รับเช็คพิพาทจาก ส. ไว้โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกมานานกว่า 10 ปีแล้วย่อมถือว่าโจทก์ไม่สุจริตคบคิดกับ ส. ฉ้อฉลจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความและการลงลายมือชื่อในคำร้อง: การแต่งตั้งทนายความที่ถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองมี ฉ. ลงชื่อเป็นผู้ร้องและผู้เรียงพิมพ์แต่ในใบแต่งทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 ทั้งสองฉบับที่ระบุแต่งตั้งให้ น. เป็นทนายความของผู้ร้องที่ 1 ที่ 2กับมี ฉ. ทนายความผู้มีใบอนุญาต ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความไม่ใช่ น. เมื่อผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 มิได้มีเจตนาแต่งตั้งให้ ฉ.เป็นทนายความก็ต้องถือว่าฉ. ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความโดยไม่มีสิทธิ ฉ. จึงมิใช่ทนายความของผู้ร้องทั้งสองและไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์แทนผู้ร้องทั้งสองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62 อย่างไรก็ตามคำร้องขัดทรัพย์เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1(3) ต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองตาม มาตรา 67(5)หรือลายมือชื่อของทนายความที่ผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งตาม มาตรา 62เมื่อคำร้องขัดทรัพย์มี ฉ. ลงลายมือชื่อโดยผู้ร้องทั้งสองมิได้แต่งตั้งให้เป็นทนายความ มิใช่เป็นกรณีที่คำร้องไม่มีลายมือชื่อของผู้ร้องตาม มาตรา 67(5) อันจะสั่งให้แก้ไขได้ตามมาตรา 18วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองโดยไม่ต้องส่งคืนคำร้องนั้นไปให้แก้ไขมาก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความในการลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์ ต้องเป็นการแต่งตั้งโดยชัดเจนตามกฎหมาย มิฉะนั้นคำร้องไม่สมบูรณ์
การที่ ฉ. ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความในใบแต่งทนายความ2 ฉบับ ซึ่งไม่มีข้อความระบุว่า ผู้ร้องทั้งสองได้แต่งตั้งให้ฉ.เป็นทนายความแต่ระบุชื่อน.เป็นทนายความเช่นนี้ฉ.จึงมิใช่ทนายความของผู้ร้องทั้งสองและไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์แทนผู้ร้องทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62 คำร้องขัดทรัพย์มีลักษณะเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1(3) จึงต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองตามมาตรา 67(5)หรือลายมือชื่อของทนายความที่ผู้ร้องแต่งตั้งตามมาตรา 62 มิฉะนั้นคำร้องดังกล่าวย่อมไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 67(5) ศาลต้องสั่งคืนคำร้องนั้นไปให้ผู้ร้องทั้งสองแก้ไขภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรจะกำหนดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แต่คำร้องขัดทรัพย์ที่ลงลายมือชื่อโดยทนายความผู้ไม่มีอำนาจ มิใช่กรณีที่คำร้องไม่มีลายมือชื่อของผู้ร้องอันจะสั่งให้แก้ไขได้ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากทนายความที่ถูกถอนชื่อลงนาม ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไข
ส. เคยเป็นทนายความของจำเลยแต่ถูกถอนจากการแต่งตั้งแล้วเมื่อ ส. มาลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้ง ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ ส. เคยทำหน้าที่ทนายความแทนจำเลยการที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องอุทธรณ์: ทนายความที่ถูกถอนอำนาจแล้วลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ทำให้คำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส. เคยเป็นทนายความของจำเลยแต่ถูกถอนจากการแต่งตั้งแล้วเมื่อ ส. มาลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้ง ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ ส. เคยทำหน้าที่ทนายความแทนจำเลยการที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
of 43