พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน แม้ไม่มีข้อความระบุการชำระหนี้ ก็ผูกพันตามกฎหมายค้ำประกัน
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยที่2ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่1ในกรณีที่จำเลยที่1ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่1และจำเลยที่2ได้ทันทีดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่าจำเลยที่2ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่2ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไปทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่2ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้วความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า"ผู้ค้ำประกัน"อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ11ว่าด้วยค้ำประกันจำเลยที่2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการค้ำประกัน: ผู้ค้ำประกันสามารถยกอายุความได้เมื่อเจ้าหนี้ฟ้องล่าช้า
โจทก์ไม่ได้ฟ้องทายาทของ ต. ลูกหนี้ ภายใน 1 ปี นับแต่ทราบถึงความตายของ ต. เป็นเหตุให้หนี้ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา1754 วรรคสาม การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีเช่นนี้ จำเลยอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 694
สัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความระบุว่า ผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้แต่ประการใด ข้อตกลงที่ว่าหาก ต. ถึงแก่กรรมจำเลยก็จะชำระหนี้แทน ไม่ใช่ข้อยกเว้น ที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้เมื่อคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จำเลยย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
สัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความระบุว่า ผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้แต่ประการใด ข้อตกลงที่ว่าหาก ต. ถึงแก่กรรมจำเลยก็จะชำระหนี้แทน ไม่ใช่ข้อยกเว้น ที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้เมื่อคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จำเลยย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้และการยกข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ถึงแก่กรรม
สัญญาค้ำประกันระบุไว้เพียงว่าหาก ต. ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ก็ดี ถึงแก่กรรมก็ดี ไปจากถิ่นฐานที่อยู่ หรือหาตัวไม่พบก็ดี หรือมีกรณีอื่นใด อันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชดใช้เงินแล้วจำเลยจะเป็น ผู้รับผิดชอบชดใช้แทนให้จนครบจำนวนโดยไม่ได้มีข้อความ ระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ข้อตกลงที่ว่าหาก ต. ถึงแก่กรรมจำเลยจะชำระหนี้แทนไม่ใช่ข้อยกเว้นที่จำเลยยอมสละสิทธิที่จะไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้ เมื่อ ต. ถึงแก่ความตาย จำเลยผู้ค้ำประกันจึงยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2330/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันการทำงาน: ผู้ค้ำประกันหลายคนต้องรับผิดชอบร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682
จำเลยทั้งสองต่างยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันการทำงาน ของดต่อโจทก์ซึ่งเป็นหนี้รายเดียวกัน แต่ค้ำประกัน ต่างวาระและสัญญาคนละฉบับกัน ก็ต้องอยู่ในบังคับแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน โจทก์จะอ้างว่าคู่กรณีมีเจตนาต้องการให้จำเลยทั้งสองแยกรับผิดเป็นคนละจำนวนกัน ซึ่งให้มีผลบังคับเป็นอย่างอื่นจากบทบัญญัติของกฎหมายไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิรุธพยานหลักฐานทำให้ศาลไม่รับฟังว่ามีการกู้ยืมเงินจริง ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด
ป.พ.พ.มาตรา 680ป.วิ.พ.มาตรา 183, 197, 205, 225
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันถึงกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้คืนโจทก์ ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 1มิได้ยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้การเพียงว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ปัญหาว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คดีแพ่งที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะได้ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ปัญหาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาท ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องหรือไม่นั้น เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธหลายประการไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน80,000 บาท และทำสัญญากู้เงินซึ่งมีข้อความครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่โจทก์
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันถึงกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้คืนโจทก์ ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 1มิได้ยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้การเพียงว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ปัญหาว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คดีแพ่งที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะได้ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ปัญหาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาท ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องหรือไม่นั้น เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธหลายประการไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน80,000 บาท และทำสัญญากู้เงินซึ่งมีข้อความครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่โจทก์
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: กำหนดเวลาและสิทธิของผู้ค้ำประกัน
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้และได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วหากจะขอรับชำระหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 การที่ผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องจะขอเข้ารับช่วงสิทธิการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ยื่นไว้แล้วไม่ได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ให้กระทำได้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาที่ว่าการถอนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เนื่องจากไม่เปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ค้ำประกันไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามกำหนด จึงไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองแล้วผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันลูกหนี้ที่2เมื่อได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่มีต่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่2แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา27และมาตรา91ผู้ร้องจะอ้างว่าได้รับช่วงสิทธิและขอรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ค้ำประกันชำระหนี้หลังหมดกำหนด ยื่นขอรับช่วงสิทธิการรับชำระหนี้ไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้และได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วหากจะขอรับชำระหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา27,91การที่ผู้ร้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้วผู้ร้องจะขอเข้ารับช่วงสิทธิการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ยื่นไว้แล้วไม่ได้เพราะไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติ ล้มละลายพ.ศ.2483ให้กระทำได้เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาที่ว่าการถอนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่จึงไม่ต้องวินิจฉัยเนื่องจากไม่เปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้จำนอง ผู้ค้ำประกัน และการบังคับจำนอง
ป.พ.พ. มาตรา 733 ไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้จำนองอาจตกลงกับผู้รับจำนองเป็นประการอื่นได้
แม้ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุว่าถ้าในการบังคับจำนองได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน แต่หนี้ที่ น.ลูกหนี้ค้างโจทก์หลังจากบังคับคดีแล้วไม่พอชำระนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้อีกต่อไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 698 แต่ยังคงรับผิดตามทรัพย์ที่จำเลยจำนอง ซึ่งยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้ว)
แม้ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุว่าถ้าในการบังคับจำนองได้เงินไม่พอจำนวนเงินที่ค้างชำระจำนวนอยู่เท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบจำนวน แต่หนี้ที่ น.ลูกหนี้ค้างโจทก์หลังจากบังคับคดีแล้วไม่พอชำระนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้อีกต่อไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 698 แต่ยังคงรับผิดตามทรัพย์ที่จำเลยจำนอง ซึ่งยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้ว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319-1320/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไล่เบี้ยของผู้ค้ำประกันต้องเกิดจากการชำระหนี้แทนจำเลย มิใช่การผูกพันตนเป็นลูกหนี้เอง
สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะไล่เบี้ยเอาจากจำเลยย่อมเกิดมีขึ้นต่อเมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แทนจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา693วรรคหนึ่งการที่โจทก์ยอมผูกพันตนเข้าเป็นลูกหนี้ของเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ของจำเลยอีกคนหนึ่งหาใช่เป็นการที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เสร็จสิ้นแล้วไม่ทั้งไม่ทำให้หนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลยที่มีอยู่เดิมระงับสิ้นไปเพราะมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้