พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีบุกรุกขึ้นอยู่กับสถานะการครอบครองที่ดินของผู้เสียหาย หากหมดอำนาจครอบครองแล้ว จะไม่มีอำนาจฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ได้ความจากเอกสารของทางราชการที่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องซึ่งจำเลยที่1ได้ยื่นต่อศาลว่าคดีเดิมศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ร่วมคดีนี้ออกจากที่พิพาทเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ว่าจำเลยที่1ทำผิดฐานบุกรุกโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1เป็นคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3954/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทกองทัพ: การระบุตัวผู้เสียหายและการตีความข้อความ
ที่จำเลยที่1กล่าวถึงกองทัพบุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงกองทัพใดจะถือว่าจำเลยที่1ใส่ความกองทัพบกโดยเฉพาะหาได้ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทกองทัพบกกองทัพบกจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)ไม่มีสิทธิร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์คดีแพ่ง-อาญา: ผู้เสียหายในคดีอาญา vs. สิทธิเรียกร้องในคดีแพ่ง, การถือข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโดยพิจารณาตามคำฟ้องที่ได้บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วยโจทก์จึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เป็นการวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องนั้นได้หรือไม่มิใช่เป็นการ วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่จะถือเป็นยุติว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายดังนั้นในข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเป็นประเด็นโดยตรงที่จำเลยถูกฟ้องยังต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยบทกฎหมายการที่โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่เกิดผลที่จะให้ศาลในคดีส่วนแพ่งไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ศาลล่างทั้งสองถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำ ละเมิดต่อตัวทรัพย์ของโจทก์หรือไม่ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับข้อหาในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยในส่วนนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ศาลล่างทั้งสองถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในส่วนนี้ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในส่วนนี้ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2659/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์คดีแพ่ง-อาญา, ผู้เสียหาย, การผูกพันตามคำพิพากษา, และการพิจารณาพยานหลักฐานใหม่
กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายค่าปลงศพผู้ตายรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆและค่าขาดไร้อุปการะเนื่องจากเหตุที่ผู้ตายได้รับอันตรายแก่ร่างกายและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเป็นปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่อันเป็นประเด็นในคดีอาญาที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4),5(2)ในส่วนนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46แม้โจทก์จะมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วยโจทก์ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญานั้น โจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโดยพิจารณาตามคำฟ้องที่ได้บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วยโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เป็นการวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องนั้นได้หรือไม่มิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่จะถือเป็นยุติว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายดังนั้นในข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเป็นประเด็นโดยตรงที่จำเลยถูกฟ้องยังต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นการที่โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่เกิดผลที่จะให้ศาลในคดีส่วนแพ่งไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ส่วนในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเงิน20,113บาทกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของโจทก์เพื่อติดต่อสอบถามดำเนินการอันเนื่องมาจากเหตุรถชนกันเป็นเงิน5,000บาทนั้นเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำละเมิดต่อตัวทรัพย์ของโจทก์หรือไม่ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยโดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,157ที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายดังนั้นในส่วนนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้เสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้ไม่ได้ฟ้องผู้เอาประกันภัย หากผู้ขับขี่ได้รับความยินยอม
ผู้เสียหายซึ่งเป็น บุคคลภายนอก สัญญาประกันภัย เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนให้รับผิดปรากฏว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยไว้โดย ได้รับ ความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยด้วยความประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์จึงต้องถือว่าจำเลยที่1กระทำละเมิดเป็นเสมือนผู้เอาประกันภัยกระทำละเมิดเอง ผู้รับประกันภัยจึง ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ในการกระทำละเมิดของจำเลยที่1 ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887วรรคสองบัญญัติให้ผู้ต้องเสียหายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาในคดีด้วยนั้นก็เป็นประโยชน์เพื่อจะได้พิจารณา ความรับผิดของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยไปพร้อมกันถ้าผู้ต้องเสียหายไม่ได้ฟ้องหรือเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาสู้คดีด้วยจะมีผลเพียงทำให้ผู้ต้องเสียหายไม่อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังขาดจากผู้เอาประกันภัยได้เท่านั้นหาได้มีผลถึงกับทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อผู้ต้องเสียหายไม่อาจเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังขาดจากผู้เอาประกันภัยได้เท่านั้นหาได้มีผลถึงกับทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อผู้ต้องเสียหายและทำให้ผู้รับประกันภัยหลุดพ้นความรับผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทของผู้เสียหายและการบรรเทาผลร้าย ลดหย่อนโทษจำคุก
แม้จำเลยเคยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนมาแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าผู้เสียหายก็มีส่วนประมาทในการขับรถจักรยานยนต์ โดยไม่เปิดไฟหน้ารถ ทั้งจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายโดยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำคุกและปรับจำเลยในคดีนี้ แล้วยกโทษจำคุกตาม ป.อ. มาตรา 55 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: พยานหลักฐานไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนายิงประทุษร้ายผู้เสียหาย
คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสี่กับ ร. และ ส. ไม่ปรากฏว่าก่อนและขณะเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสี่แสดงกิริยาหรือวาจาอันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธเคืองหรือไม่พอใจผู้เสียหายทั้งสี่และได้ความจากผู้เสียหายทั้งสี่ด้วยว่าไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอีกทั้งสภาพบริเวณเกิดเหตุที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งล้อมวงคุยกันเป็นทุ่งนาโล่งกว้างต่ำกว่าจุดที่จำเลยอยู่และใกล้วิถีกระสุนปืนซึ่งง่ายต่อการถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงมาอยู่มากแต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไป1นัดก็ไม่ถูกผู้ใดและไม่ปรากฏร่องรอยกระสุนปืนที่พื้นดินบริเวณนั้นด้วยนอกจากนี้ยังคงมีกระสุนปืนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนถึง7นัดในสภาพพร้อมยิงได้ทันทีแต่จำเลยไม่ได้ใช้ยิงเลยโดยไม่ปรากฏสิ่งใดขัดขวางประกอบกับเหตุเกิดกระทันหันในเวลากลางคืนโดยจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงออกไปคนละทางกับ ร.ผู้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถจำเลยซึ่งก่อเหตุการณ์ให้จำเลยยิงปืนโอกาสที่พยานจะไม่ทันสังเกตว่าจำเลยจ้องปืนไปทางใดย่อมมีอยู่มากพฤติการณ์ที่กล่าวมาแสดงว่าจำเลยใช้ปืนยิงไปคนละทางกับผู้เสียหายทั้งสี่โดย ไม่มี เจตนายิงประทุษร้ายไปทางผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐาน พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำ การพิสูจน์ผู้เสียหายและข้อเท็จจริงในฟ้อง
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน บ้านพร้อมที่ดินที่จะซื้อขายเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ ส. ได้มาในระหว่างสมรสกับ บ. จึงเป็นสินสมรสจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินจาก ส. โดย บ.ลงชื่อเป็นพยานในสัญญา เมื่อจำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาทให้แก่ บ.เพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำตามข้อตกลง บ. จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทการที่จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ส. มีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำตามหนังสือสัญญาจะซื้อขาย เช็คพิพาทที่ออกเพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำบ้านพร้อมที่ดินจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย บ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน บ. จึงเป็นผู้เสียหาย ฟ้องโจทก์ระบุว่าผู้เสียหายเป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีแต่ทางพิจารณาได้ความว่า ภริยาจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีผู้เสียหายก็เป็นเพียงการฝากเช็คให้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ถือว่าภริยาจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนผู้เสียหายข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องไม่ใช่ในข้อสาระสำคัญ และมิได้ทำให้จำเลยที่ 2หลงต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท สินสมรส การกระทำแทนกัน ผู้เสียหาย การรอการลงโทษ
บ้านพร้อมที่ดินที่จะซื้อขายเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ ส. ได้มาระหว่างสมรสกับ บ. บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสการที่จำเลยที่2ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินนั้นจาก ส.โดย บ. ลงลายมือชื่อเป็นพยานแล้วจำเลยที่2ออกเช็คพิพาทให้แก่ บ. เพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำ บ. จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทการที่จำเลยที่2ผิดสัญญา ส. จึงมีสิทธิริบเงินมัดจำเช็คพิพาทที่จำเลยที่2ออกให้เพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แม้ฟ้องโจทก์จะระบุว่า บ. ผู้เสียหายเป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีผู้เสียหายแต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าภริยาจำเลยที่2เป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของผู้เสียหายก็เป็นเพียงการฝากเช็คให้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินถือว่าภริยาจำเลยที่2เป็นตัวแทนของผู้เสียหายข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาแม้จะแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎในฟ้องก็มิใช่ในข้อสาระสำคัญอีกทั้งจำเลยที่2ก็มิได้หลงต่อสู้ศาลจึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่2ได้รับโทษจำคุกมาก่อนและความผิดที่กระทำไม่ร้ายแรงการรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่2จะเป็นผลดีกว่าโทษกักขังแทนโทษจำคุกแต่เพื่อให้จำเลยที่2หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำซื้อขาย สินสมรส ผู้เสียหายคือผู้รับเช็ค แม้ภริยาจะเป็นผู้ฝากเช็ค
การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน บ้านพร้อมที่ดินที่จะซื้อขายเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ ส. ได้มาในระหว่างสมรสกับ บ. จึงเป็นสินสมรสจำเลยที่2ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินจาก ส. โดย บ.ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเมื่อจำเลยที่2ออกเช็คพิพาทให้แก่ บ.เพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำตามข้อตกลง บ. จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทการที่จำเลยที่2เป็นฝ่ายผิดสัญญา ส. มีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายเช็คพิพาทที่ออกเพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำบ้านพร้อมที่ดินจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย บ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในวันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน บ. จึงเป็นผู้เสียหาย ฟ้องโจทก์ระบุว่าผู้เสียหายเป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีแต่ทางพิจารณาได้ความว่าภริยาจำเลยที่2เป็นผู้นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีผู้เสียหายก็เป็นเพียงการฝากเช็คให้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินถือว่าภริยาจำเลยที่2เป็นตัวแทนผู้เสียหายข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องไม่ใช่ในข้อสาระสำคัญและมิได้ทำให้จำเลยที่2หลงต่อสู้