คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยายามฆ่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 869 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์: การพิจารณาอาการป่วยทางจิตและกรรมเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ จำคุกกระทงละไม่เกิน 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องทั้งสามข้อหา ไม่ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จำเลยถืออาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้าน แล้วเข้าไปในบ้านกับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ยิงผู้เสียหายทันที แต่เพิ่งยิงผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขอเข้าไปในห้องนอนผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ยอมเข้าไปกับจำเลยตามที่จำเลยต้องการ ที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปยิงผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกและพยายามฆ่าสองกระทง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย กระสุนปืนไปถูกกระจกหน้าต่างและโต๊ะของผู้เสียหายได้รับความเสียหายด้วย เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ แต่จำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ของผู้ป่วยจิตเวช: ศาลพิจารณาความสามารถในการรับผิดชอบและลดโทษ
จำเลยป่วยเป็นโรคจิตได้บุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยวิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปในบ้านร้างแล้วจำเลยแกล้งยิงปืน 1 นัดและใช้เท้ากระทืบพื้น เป็นการลวงว่าจำเลยฆ่าตัวตายเพื่อให้พวกเจ้าพนักงานตำรวจขึ้นไปบนบ้าน จำเลยจะได้ยิงบุคคลเหล่านั้น แต่เมื่อผู้กำกับการตำรวจมาถึงจำเลยก็ยินยอมมอบตัวโดยดี ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบและยังสามารถบังคับตนเองได้ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง สำหรับปัญหาว่า การที่จำเลยถืออาวุธปืนบังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปในบ้านกับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ยิงผู้เสียหายทันที แต่เพิ่งยิงผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเข้าไปในห้องนอนกับจำเลยตามที่จำเลยต้องการ และกระสุนปืนถูกกระจกหน้าต่างและโต๊ะของผู้เสียหายด้วย จะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมนั้น เห็นว่าเจตนาของจำเลยที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปยิงผู้เสียหายจึงเป็นความผิดสองกรรม แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย และกระสุนปืนยังไปถูกกระจกหน้าต่างและโต๊ะของผู้เสียหายอันเป็นการทำให้เสียทรัพย์ด้วยนั้น จำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์อ่อนแอ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
บันทึกคำให้การชั้นสอบสวน และคำเบิกความในอีกคดีหนึ่ง ของผู้เสียหายซึ่งมิได้มาเบิกความในคดีนี้เพราะถึงแก่กรรมเสียก่อน เป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ต้องมีพยานอื่นมาสนับสนุนจึงจะฟัง ลงโทษจำเลยได้ ส่วนบันทึกคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของ ด. ในคดีที่ด.ถูกฟ้องเป็นจำเลยซึ่งด. ให้การว่าจำเลยมีส่วนร่วมมือยิงผู้เสียหายด้วยนั้น นอกจากจะเป็นพยานบอกเล่าแล้ว ยังเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยด้วย เมื่อ ด. มิได้มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านบันทึกคำให้การดังกล่าว จึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ยังมี ข้อน่าระแวงสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในความผิดสองฐานนี้ได้ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันกับความผิดฐานพยายามฆ่า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6287/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ท่อนไม้กว้าง 7 เซนติเมตร ยาว 1 เมตรเศษ ตีโจทก์ร่วมที่ศีรษะจากทางด้านหลังจนโจทก์ร่วมล้มสลบไป แสดงว่าตีโดยแรงและเลือกตีส่วนสำคัญของร่างกาย หากไม่ได้รับการผ่าตัดสมองอาจถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าความตายอาจเกิดจากการกระทำของตน เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5831/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่า, ทำร้ายร่างกาย และความผิดฐานพาอาวุธปืน
จำเลยที่ 3 มีเรื่องชกต่อยกับ ส. ก่อน แล้วจำเลยที่ 3 พาพวกคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มาดักรอผู้เสียหายกับผู้ตาย แล้วร่วมกันยิงและทำร้ายทันที โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ยิง ส.กับจำเลยที่4ใช้ไม้ตีห. แม้จำเลยที่ 3จะมิได้มีอาวุธติดตัวมาและลงมือกระทำผิดด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นการรวมกำลังให้แก่พวกจำเลยอื่น พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ เมื่อเกิดเหตุแล้วก็หนีไปด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ยิงผู้ตายกับผู้เสียหายไม่มีหมายเลขทะเบียน ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนนั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วพาอาวุธปืนนั้นไปจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5795/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าและการแก้ไขโทษฐานมีอาวุธปืน ศาลฎีกาไม่รับฎีกาในข้อเท็จจริงและแก้โทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ แต่ให้ลงโทษตามพ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกคนละ 1 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 371 ให้ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 100 บาท ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 487/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่า ต้องพิจารณาถึงเจตนาและระยะเวลาในการเตรียมการ
จำเลยเมาสุราโกรธผู้เสียหายเพราะถูกผู้เสียหายทำร้าย คิดจะฆ่าผู้เสียหายในทันทีทันใดที่ถูกทำร้าย แล้วเดินกลับไปเอามีดที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ 40 เมตร โดยมิได้หยุดพัก มาแทงผู้เสียหายด้วยความโกรธที่มีอยู่เดิม จำเลยใช้มีดแทงทำร้ายผู้เสียหายหลังจากถูกผู้เสียหายทำร้ายไม่นาน ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การประเมินความผิดฐานอาญา
จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยแม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษ และจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธอันตราย ศาลพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์เพื่อตัดสินความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ท่อเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 เซนติเมตร ยาว50 เซนติเมตรตีผู้เสียหายที่ศีรษะหลายที มีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะด้านซ้ายยาว 5 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร ซึ่งได้ความจากแพทย์ ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายว่าไม่ทำให้ถึงตายและกะโหลกศีรษะไม่แตก แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตีโดยแรง เมื่อผู้เสียหายล้มลงมุด ศีรษะเข้าไปใต้รถเข็น จำเลยลากขาผู้เสียหายเพื่อให้ออกมา แต่มีคนร้องห้าม จำเลยก็หยุด แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3916/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพยายามฆ่า: การขู่ด้วยอาวุธปืนและการเมาสุรา ไม่ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ที่ขมับผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า กูจะฆ่ามึงทิ้ง ถ้ามึงไปถึงกิ่งอำเภอเมื่อไรกูจะฆ่าเมื่อนั้น ดังนี้คำพูดของจำเลยขณะที่ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยจะยิงผู้เสียหายเมื่อไปถึงกิ่งอำเภอไม่ใช่ยิงในขณะนั้นเป็นการกระทำในลักษณะขู่ผู้เสียหายมากกว่า หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็คงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้เสียหายทันทีโดยไม่ต้องใช้อาวุธปืนจี้และมีการพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตเช่นนั้น ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และจำเลยกระทำในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.
of 87