คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4734/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีอาญา, สิทธิเรียกร้องทางแพ่ง, การไม่เป็นการดำเนินกระบวนการซ้ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายเท่านั้น ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องมาในคดีนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวในคดีเดิมแทนผู้เสียหายไม่ได้ โจทก์ในคดีนี้ซึ่งคือผู้เสียหายในคดีก่อนมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นด้วย และการกระทำของจำเลยผู้เช่าซื้อซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้ออาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลหนี้แห่งสัญญาเช่าซื้อเมื่อในคดีอาญาเรื่องก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50, 249 มีคำสั่งให้ยกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ดังนี้เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 (2) มีผลเป็นการพิพากษาแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4734/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: ศาลอนุญาตฟ้องค่าขาดประโยชน์ได้ แม้คดีอาญาไม่ครอบคลุม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายเท่านั้นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องมาในคดีนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดพนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวในคดีเดิมแทนผู้เสียหายไม่ได้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งคือผู้เสียหายในคดีก่อนมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นด้วยและการกระทำของจำเลยผู้เช่าซื้อซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้ออาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลหนี้แห่งสัญญาเช่าซื้อเมื่อในคดีอาญาเรื่องก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144 การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา50,249มีคำสั่งให้ยกฟ้องค่าฤชาธรรมให้เป็นพับดังนี้เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)มีผลเป็นการพิพากษาแล้วมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4574/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาต้องเชื่อมโยงกับประเด็นพิพาทหลักที่ฟ้องร้อง
การขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264นั้นต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในประเด็นที่พิพาทกันตามคำฟ้องและคำให้การ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างโรงอิฐปลูกต้นยางพาราต้นกล้วยและต้นมะพร้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์บัดนี้ทางราชการประสงค์จะใช้ที่ดินปลูกสร้างอาคารจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินจำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้มีชื่อที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ดินทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่วไม่ครอบคลุมถึงที่ดินของจำเลยขอให้ยกฟ้องกรณีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับตัวที่ดินเป็นหลักซึ่งหากศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีก็มีที่ดินที่จะบังคับคดีได้ตามคำฟ้องและคำให้การไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ทำละเมิดต่อจำเลยและจำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทหรือขุดลอกรื้อถอนดินลูกรังเสาเข็มและอาคารออกไปจากที่ดินพิพาทในระหว่างพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4548/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีอาญาฐานยักยอกและการระงับการฟ้องร้อง
เอกสารที่อ.ผู้เสียหายทำให้จำเลย มีข้อความระบุว่าอ.รับรองว่าอ.ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลยแล้วและไม่ติดใจเอาความต่อไป ถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ตกลงยอมความกันแล้ว เมื่อความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดอันยอมความกันได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาททั้งสองฝ่าย-อำนาจโจทก์ร่วม: ผู้ตายมีส่วนกระทำผิด ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย บิดาไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็ว และต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่ายเมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากประกันภัย: เพียงพอต่อการเข้าใจถึงความรับผิดของผู้รับประกันภัย แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดนิติสัมพันธ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ชนกับรถบรรทุกของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย แม้ตามคำฟ้องจะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เอาประกันภัยก็ตาม แต่ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องมีข้อความระบุว่า ในเบื้องต้นผู้รับประกันภัยรถของทั้งสองฝ่ายมารับรู้ โดยผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกซึ่งมีจำเลยที่ 1เป็นคนขับยินดีเป็นฝ่ายรับผิดชอบในค่าเสียหายเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถและนัดหมายให้ไปรับเงินกับจำเลยที่ 2 เป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัย จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยจากผู้ใด และผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย หรือจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถบรรทุกคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกัน เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3924/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทำกินในป่าสงวนสิ้นสุดเมื่อหมดอายุอนุญาต การฟ้องร้องหน่วยงานรัฐด้วยสิทธิครอบครองเป็นโมฆะ
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แม้โจทก์ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินพิพาทตามหนังสืออนุญาต สทก.1 มีกำหนดระยะเวลา5 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2527 ถึง 1 ตุลาคม 2532 ก็ตาม เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ก่อสร้างถนนผ่านที่ดินพิพาทในปี 2533 อันเป็นเวลาหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาในหนังสืออนุญาต สทก.1 ของโจทก์ สิทธิการทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507มาตรา 16 ประกอบมาตรา 14 ย่อมสิ้นสุดไปแล้ว ทั้งกรณีมิใช่เป็นการยกสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้ระหว่างราษฎรด้วยกัน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่เป็นส่วนราชการและเป็นหน่วยงานของรัฐจึงมีผลเท่ากับโจทก์อ้างสิทธิครอบครองมาใช้ยันรัฐนั่นเอง ซึ่งโจทก์ไม่อาจกระทำได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: การเริ่มต้นนับอายุความเมื่อรู้เหตุละเมิดและตัวผู้กระทำ
จำเลยที่1ถึงที่6และป. เจ้ามรดกของจำเลยที่7ได้ร่วมกันขออายัดที่ดินของโจทก์ไว้ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาโดยอาศัยคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินให้แก่ด. ผู้จะซื้อเมื่อวันที่19ธันวาคม2532แสดงว่าโจทก์รู้เหตุละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่นั้นมาโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่11พฤษภาคม2535เกินกำหนดหนึ่งปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคหนึ่งโจทก์จะอ้างว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงวันฟ้องหาได้ไม่ ที่โจทก์อ้างว่าเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา263ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดอายุความไว้จึงต้องบังคับตามอายุความทั่วไปคืออายุความ10ปีนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์โดยชอบต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องคดีอาญา: การส่งตัวผู้ต้องหาต่อศาลเป็นสำคัญ
จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดข้อหาฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่3ธันวาคม2527ต่อมาวันที่28พฤศจิกายน2537เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้แล้วส่งมอบจำเลยแก่พนักงานสอบสวนในวันเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนอนุญาตให้จำเลยประกันตัวไปวันที่30พฤศจิกายน2537พนักงานอัยการขอผัดฟ้องโดยไม่ได้นำตัวจำเลยส่งศาลแม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ผัดฟ้องได้ก็ตามก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ตัวจำเลยมาอยู่ในอำนาจศาลแล้วเพราะไม่มีการส่งมอบตัวจำเลยต่อศาลดังนั้นแม้โจทก์ทั้งสี่จะยื่นฟ้องจำเลยในวันที่2ธันวาคม2537แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลจนกระทั่งวันที่7มีนาคม2538ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลเมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดคือวันที่3ธันวาคม2527วันสุดท้ายของอายุความ10ปีคือวันที่3ธันวาคม2537โจทก์ทั้งสี่ก็มิได้ตัวจำเลยมาส่งมอบแก่ศาลคดีโจทก์ทั้งสี่ในข้อหาความผิดฐานใช้เอกสารปลอมจึงขาดอายุความฟ้องร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปิดกั้นทางเข้าออกและการฟ้องร้อง: การกระทำที่ไม่เป็นการละเมิด
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาท ไม่ยอมให้จำเลยเข้าออก เว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิ ดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า การมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 263 (1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
of 100