พบผลลัพธ์ทั้งหมด 411 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องคดีละเมิดและการระบุอาณาเขตที่ดิน ศาลฎีกาตัดสินว่าการไม่ระบุอาณาเขตที่ดินโดยละเอียดไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวา ในที่ดินของโจทก์โฉนดหมายเลข 7083 ตำบลสี่แยกมหานาค (ดุสิต) อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เป็นการละเมิด ขอให้ขับไล่ แม้จะไม่ระบุอาณาเขตที่ดินของโจทก์มาว่า ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก จดเขตที่ดินของใคร จำเลยก็อาจเข้าใจข้อหาในฟ้องได้ชัดเจนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: สัญญาเงินกู้เบิกเกินบัญชีและจำนอง - ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์และบังคับจำนอง โดยฟ้องกล่าวถึงจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์และจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกิน บัญชีไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2514 จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท กำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากำหนดส่งดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนดยอมให้คิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นเข้ากับเงินที่เบิกเกินบัญชีโดยเสียดอกเบี้ยตามวิธีและอัตราดังกล่าวตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งในเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยโจทก์ร้อยละสิบสี่ต่อปี และบรรยายต่อไปว่าเมื่อจำเลยนำสัญญาจำนองและเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงวันที่ 7 กันยายน 2520 เป็นเงิน 63,256.29 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2514 ตลอดมาจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2520 โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละสิบสี่ต่อปี และคิดดอกเบี้ยที่ผิดนัดทบเข้ากับต้นเงินเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม 63,256.29 บาท ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่ว่าจำเลยเบิกเงินจากโจทก์เมื่อไร จำนวนเท่าใด คิดดอกเบี้ยจากยอดต้นเงินเท่าใด คิดจากวันไหนถึงวันไหน นั้นเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบ เมื่อมีประเด็นโต้เถียงกันแม้โจทก์ไม่บรรยายข้อความดังกล่าวในคำฟ้องและไม่แสดงบัญชีเดินสะพัด ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมฐานยักยอกและลักทรัพย์ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลยว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมกระทำความผิดฐานยักยอก แล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้นเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองเป็นฟ้องที่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (4) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 30/2494)
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2592)
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็ค และเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้น ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2592)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมฐานยักยอกและลักทรัพย์ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและการกระทำของจำเลยว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมกระทำความผิดฐานยักยอกแล้วโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างอีกว่า ในการกระทำอันเดียวกันนั้นเป็นการลักทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์จึงขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จะรับไว้พิจารณาเอาโทษจำเลยมิได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่30/2494)
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีความเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2492)
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์โดยระบุวันที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดไว้ แต่มิได้บรรยายว่า จำเลยได้เบียดบังยักยอกเอาเงินสดไปในวัน เดือน ปี และเวลาใดจะตีความเอาว่าโจทก์หมายเอาในระหว่างวันเวลาที่จำเลยได้รับเช็คและเงินสดนั้นเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดก็ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อความตอนใดจะให้เข้าใจได้ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องของนิติบุคคล: วัตถุประสงค์บริษัทและฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนเลขที่ 1430 ถึงแม้ว่าจะมิได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ แต่การจัดตั้งบริษัทจำกัดนั้น จะต้องนำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียนและนายทะเบียนจะต้องแต่งย่อรายการไปลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวง จึงต้องถือว่าจำเลยทราบวัตถุประสงค์ของโจทก์ในหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว โจทก์ไม่จำต้องบรรยายวัตถุประสงค์มาในฟ้องอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและการฟ้องรวมกันได้ โดยไม่ต้องฟ้องรับรองบุตรก่อน และประเด็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์อยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนและมีบุตรด้วยกัน โจทก์ซึ่งเป็นมารดามีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงบุตรผู้เยาว์รวมเข้ามาในคดีเดียวกับที่ขอให้จำเลยรับรองบุตรได้ ไม่ต้องฟ้องขอให้รับบุตรจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียขั้นหนึ่งก่อน
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้น โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันคำพิพากาาว่าเด็กเป็นบุตรถึงที่สุด ส่วนค่าเลี้ยงดูที่โจทก์จ่ายไปตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกร้างกับโจทก์ จนถึงวันฟ้องนั้นบังคับให้ไม่ได้
ในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม จำเลยยกปัญหานี้ขึ้นมาในชั้นฎีกาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้น โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันคำพิพากาาว่าเด็กเป็นบุตรถึงที่สุด ส่วนค่าเลี้ยงดูที่โจทก์จ่ายไปตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกร้างกับโจทก์ จนถึงวันฟ้องนั้นบังคับให้ไม่ได้
ในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม จำเลยยกปัญหานี้ขึ้นมาในชั้นฎีกาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุมในคดีซื้อขายเสาเข็ม: การบรรยายฟ้องที่ชัดเจนและการกำหนดเวลาชำระหนี้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระ โดยบรรยายฟ้องเกี่ยวกับชนิดและจำนวนสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อพร้อมทั้งราคาและเงื่อนไขในการชำระตลอดจนสถานที่ที่ให้โจทก์จัดส่งมอบสินค้าให้จำเลยโดยละเอียดพอที่จำเลยเข้าใจได้เป็นอย่างดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยตกลงกันว่า การชำระเงินค่าสินค้านั้นจำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วัน นับแต่วันส่งของเสร็จถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโจทก์ไม่ต้องทวงถามอีก
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะจำเลยไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยฎีกาต่อมาลอยๆ ว่าจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จำเลยตกลงกันว่า การชำระเงินค่าสินค้านั้นจำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วัน นับแต่วันส่งของเสร็จถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโจทก์ไม่ต้องทวงถามอีก
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะจำเลยไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยฎีกาต่อมาลอยๆ ว่าจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: พิจารณาจากคำฟ้องเป็นหลัก แม้ข้อเท็จจริงในสัญญาต่างจากคำฟ้อง ก็ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องเคลือบคลุม
บรรยายฟ้องว่าประมาณปี พ.ศ. 2517 จำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์จำนวน 2 เครื่อง รวมราคาทั้งสิ้น 690,000 บาท จำเลยชำระค่าเครื่องปรับอากาศให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 655,000 บาท คงเหลือที่จะต้องชำระจำนวนสุดท้าย 34,500 บาท โดยกำหนดชำระในวันที่ 1 มกราคม 2518 จำเลยประพฤติผิดสัญญาซื้อขาย ไม่ยอมชำระเงิน 34,500 บาท ให้แก่โจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว แม้ในคำฟ้องจะบรรยายว่าจำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง แต่ตามสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างและส่งศาลในภายหลัง ปรากฏว่าจำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศ 3 เครื่อง ไม่ตรงที่ปรากฏในคำฟ้องก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: พิจารณาจากคำฟ้องเป็นหลัก แม้ข้อเท็จจริงในสัญญาต่างจากฟ้อง ก็ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
บรรยายฟ้องว่าประมาณปี พ.ศ.2517 จำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์จำนวน 2 เครื่อง รวมราคาทั้งสิ้น 690,000 บาทจำเลยชำระค่าเครื่องปรับอากาศให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 655,000 บาท คงเหลือที่จะต้องชำระจำนวนสุดท้าย 34,500 บาท โดยกำหนดชำระในวันที่ 1 มกราคม 2518 จำเลยประพฤติผิดสัญญาซื้อขายไม่ยอมชำระเงิน 34,500 บาทให้แก่โจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์แล้วแม้ในคำฟ้องจะบรรยายว่าจำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศ 2 เครื่องแต่ตามสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างและส่งศาลในภายหลัง ปรากฏว่าจำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศ 3 เครื่อง ไม่ตรงกับที่ปรากฏในคำฟ้องก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุมเบิกความเท็จ – ความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จโดยบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่ง อันเป็นการแตกต่างและขัดกัน ซึ่งเป็นความเท็จ แต่มิได้บรรยายว่าอย่างไหนเป็นความเท็จ อย่างไหนเป็นความจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร ยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนนั้นไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย ดังนี้ แม้จะฟังว่าจำเลยให้การไว้แก่พนักงานสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยจริงก็ตาม เมื่อข้อสำคัญในคดีมีอยู่ว่าจำเลยจำคนร้ายที่เห็นนั้นได้หรือไม่ ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้การชั้นสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนนั้นไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย ดังนี้ แม้จะฟังว่าจำเลยให้การไว้แก่พนักงานสอบสวนและลายพิมพ์นิ้วมือท้ายคำให้การชั้นสอบสวนเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยจริงก็ตาม เมื่อข้อสำคัญในคดีมีอยู่ว่าจำเลยจำคนร้ายที่เห็นนั้นได้หรือไม่ ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ