พบผลลัพธ์ทั้งหมด 687 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงออกเสมือนตัวแทนและการผูกพันตามสัญญาจ้าง
ว.เป็นผู้รับโจทก์เข้าทำงานในบริษัทจำเลย เป็นผู้ทำสัญญาจ้างโจทก์แทนจำเลย ซึ่งตามหนังสือจ้างงานดังกล่าวระบุว่า ว.มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายธุรการบุคคลของบริษัทจำเลย และเมื่อมีกรณีที่โจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ ว.ก็เป็นผู้เรียกโจทก์ไปตำหนิ เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยได้เชิด ว.ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย หรือรู้แล้วยอมให้ ว.เชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยในการจ้างหรือเลิกจ้างโจทก์ได้ ดังนั้น การที่ ว.บอกเลิกจ้างโจทก์จึงมีผลผูกพันจำเลยเสมือนว่า ว.เป็นตัวแทนของจำเลยตาม ป.พ.พ.และพาณิชย์ มาตรา 821
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9650-9651/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางสัญญาจ้าง กรณีลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการสั่งพักงาน/ลงโทษทางวินัยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่1เป็นผู้อำนวยการของโจทก์ซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในขณะเดียวกันจำเลยที่1ก็ยังมีฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ด้วยและยังต้องปฏิบัติหน้าที่การงานภายใต้ระเบียบข้อบังคับของโจทก์ส่วนจำเลยที่2ที่3และที่4เป็นลูกจ้างโจทก์และได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจรับสินค้ามีหน้าที่ไปตรวจรับสินค้าว่ามีการซื้อขายตามจำนวนประเภทและราคาสินค้านั้นถูกต้องตรงตามสัญญาซื้อขายกันหรือไม่การที่จำเลยที่1มีคำสั่งให้คณะกรรมการตรวจรับที่โจทก์ตั้งขึ้นตรวจรับสินค้าตามหลักฐานเอกสารที่มีเพียงลายมือชื่อของผู้ซื้อว่าได้รับสินค้าไปถูกต้องแล้วพิจารณาจ่ายเงินให้ผู้ขายสินค้าไปและวิธีปฏิบัติตามที่จำเลยที่1กำหนดขึ้นก็ขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยการรับเงินการจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินพ.ศ.2528ของโจทก์เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่2ที่3และที่4เป็นคณะกรรมการตรวจรับไม่เคยไปตรวจรับสินค้าคงตรวจแต่เอกสารการรับมอบแม้จะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่1จำเลยที่2ที่3และที4ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าคำสั่งดังกล่าวขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบแต่จำเลยที่2ที่3และที่4ยังปฏิบัติตามจึงเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่รักษาประโยชน์ของโจทก์เป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรงและต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1ด้วย จำเลยที่2และที่3มิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของโจทก์เมื่อมีการสอบสวนทางวินัยก็ปรากฏว่าจำเลยที่2และที่3กระทำผิดทางวินัยคำสั่งของโจทก์ให้พักงานจำเลยที่2และที่3จึงมิใช่เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยที่2และที่3การที่โจทก์มีคำสั่งลงโทษจำเลยที่2ด้วยการพักงานและลดขั้นเงินเดือนจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์แล้ว จำเลยที่3ทำผิดวินัยโดยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายการที่จำเลยที่3ต้องเกษียณอายุหรือถูกเลิกจ้างโดยมีความผิดโจทก์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้จำเลยที่3 ฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งแปดผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้เป็นการเฉพาะจึงต้องบังคับใช้ตามอายุความทั่วไปมีกำหนด10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30จำเลยที1ถึงที่4ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันเป็นการผิดสัญญาในระหว่างปี2532ถึง2533แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่6สิงหาคม2536ยังไม่เกิน10ปีฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่2ที่3และที่4อุทธรณ์ว่าจำเลยที่1ประนีประนอมยอมความหนี้กับโจทก์แล้วจำเลยที่2ที่3ที่4จึงไม่มีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานวินิจฉัยมาว่าไม่มีการประนีประนอมยอมความในหนี้แต่อย่างใดต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา54ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อในคำให้การจำเลยที่1มิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องที่อุทธรณ์ขึ้นมาอุทธรณ์ของจำเลยที่1จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6046/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาจ้างซ่อมแซม: ใช้ 10 ปี ไม่ใช่ 1 ปี
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ว่าจ้างจำเลยที่1ซ่อมแซมถนนพิพาทโดยมีจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่1ซ่อมแซมถนนพิพาทและส่งมอบงานให้โจทก์แล้วต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์พบความชำรุดบกพร่องจึงแจ้งให้จำเลยที่1ซ่อมแซมแก้ไขจำเลยที่1เพิกเฉยโจทก์จึงจ้างบุคคลอื่นซ่อมแซมแก้ไขซึ่งจำเลยที่1ต้องรับผิดใช้ค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามที่ระบุในสัญญาจ้างและจำเลยที่2ต้องร่วมรับผิดด้วยถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดตามสัญญาจ้างธรรมดาซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ10ปีหาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา601ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบผลงานเป็นเบี้ยปรับสัญญาจ้าง และการชดใช้ค่าจ้างส่วนต่าง
สัญญาว่าจ้าง ข้อ 21 มีความมุ่งหมายว่า หากโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา บรรดางานที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นก่อนแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าตอบแทน และจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ระงับการจ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ทั้งโจทก์มีสิทธิว่าจ้างบุคคลภายนอกทำงานที่ค้างต่อไปได้ หากค่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่สูงกว่าค่าจ้างเดิมจำเลยที่ 1 ยอมให้นำค่าจ้างเดิมที่ยังค้างจ่ายซึ่งเป็นหลักประกันการชำระหนี้ไปหักออกจากค่าจ้างรายใหม่ ถ้ายังไม่พอชำระค่าจ้างรายใหม่ที่สูงกว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ส่วนที่ยังขาดจนครบถ้วน แต่ถ้าหักแล้วมีเงินเหลืออยู่โจทก์จะคืนให้จำเลยที่ 1 ทั้งหมด ข้อตกลงนี้จึงมีลักษณะให้ถือเอาบรรดาผลงานที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นก่อนนั้นอันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่วางท่อให้ถูกต้องสมควร โจทก์ย่อมมีสิทธิริบเบี้ยปรับนี้ได้ตามมาตรา 381 วรรคแรกถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามมาตรา383 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4095/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างดูแลความปลอดภัยนอกวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ไม่ผูกพันจำเลย
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยไม่มีวัตถุประสงค์ ในการรับจ้างดูแลรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินและรับฝากรถสัญญาจ้างดูแลทรัพย์สินรวมทั้งความปลอดภัยที่หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยทำกับเจ้าของคอนโดมีเนี่ยม จึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยไม่ผูกพันจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในเหตุที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในคอนโดมีเนียมถูกลักไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างก่อสร้าง: การผิดสัญญา, การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยสุจริต, และสิทธิในการปรับตามสัญญา
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2521ข้อ 49 ได้กำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการจ้างไว้ว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ตรวจและควบคุมงานให้เป็นไปตามแบบรูปรายละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา โดยจะสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาการให้งดทาสีใต้ท้องกระเบื้องหลังคาเป็นติดเหล็กดัดช่องแสงรอบอาคาร 48 ช่องเป็นการเปลี่ยนแปลงรายการละเอียดที่ผิดไปจากข้อกำหนดในสัญญาจ้าง นอกจากนี้ตามสัญญาจ้าง ข้อ 17 ก็ไม่ให้อำนาจจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำเช่นนี้ได้เช่นกันเพราะกรณีดังกล่าวมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงหรือตัดทอนกิจการจ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา แต่เป็นการกระทำที่มิให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างดังนั้นจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ให้เข้าทำสัญญาจ้างกับโจทก์ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นกรรมการตรวจการจ้าง จึงไม่มีอำนาจที่จะตกลงให้โจทก์งดเว้นทาสีใต้ท้องกระเบื้องหลังคาเป็นติดเหล็กดัดช่องแสงรอบอาคาร 48 ช่องได้ แต่การที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้รายงานจำเลยที่ 2ขออนุญาตตามลำดับชั้นไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการก็ได้รายงานกรมสามัญศึกษาจำเลยที่ 1 เพื่อขออนุญาตจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่อนุญาตเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไปโดยสุจริต มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การที่โจทก์ติดเหล็กดัดช่องแสงไปก่อนที่จำเลยที่ 1 จะอนุญาต จึงเป็นการกระทำที่เสี่ยงภัยของโจทก์เอง นับเป็นความผิดของโจทก์ เมื่อตามแบบรูปรายการละเอียดท้ายสัญญาจ้าง กำหนดให้ทาสีใต้ท้องกระเบื้องหลังคา แต่โจทก์ยังไม่ได้ทา โจทก์จึงปฏิบัติผิดสัญญาในข้อนี้
ส่วนการใช้เหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด 50 x 50 x 4มิลลิเมตร ซึ่งไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่116 - 2517 นั้น แม้โจทก์รับว่าเหล็กดังกล่าวไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่ 116 - 2517 เพราะขณะทำการก่อสร้าง เหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวขาดตลาด แต่เหล็กที่โจทก์นำมาใช้ก็มีคุณสมบัติและลักษณะเช่นเดียวกันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้ฟังว่าโจทก์ไม่ผิดสัญญาจ้างในข้อนี้ ส่วนการที่จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 เคยมีหนังสือยืนยันและหนังสือรับรองว่า โครงเหล็กหลังคาถูกต้องตามแบบและเรียบร้อย และไม่ได้ทักท้วงตั้งแต่ตอนแรกว่าเหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)เลขที่ 116 - 2517 เพราะตามแบบรูปรายการละเอียดท้ายสัญญาจ้างเหล็กโครงสร้างหลังคามีเหล็กหลายขนาด และโจทก์ได้นำหลักฐานสำเนาใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ถูกต้องตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเลขที่ 116 - 2517 ตามเอกสารหมาย ปจ.9 มาแสดงต่อจำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อาจสับสนและเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่ารวมทั้งเหล็กค้ำยันโครงหลังคาด้วยจึงได้ทำหนังสือยืนยันและหนังสือรับรองให้โจทก์ แต่ต่อมาเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าเอกสารหมาย ปจ.9 ที่โจทก์นำมาแสดงนั้นไม่มีรายการของเหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด 50 x 50 x 4มิลลิเมตร รวมอยู่ด้วย จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จึงได้โต้แย้งข้อนี้ภายหลัง กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไปโดยสุจริต ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย เมื่อตามแบบรูปรายการละเอียดท้ายสัญญาจ้างหมาย จ.4 กำหนดให้เหล็กที่ค้ำยันโครงหลังคาต้องเป็นเหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่ 116 - 2517 แต่โจทก์ใช้เหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวทำเหล็กค้ำยันโครงหลังคา แม้เหล็กดังกล่าวจะมีคุณสมบัติและลักษณะเช่นเดียวกัน โจทก์ก็ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างข้อนี้
โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาจ้าง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไปโดยสุจริต มิได้มีเจตนาจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว
สัญญาจ้างข้อ 19 ระบุว่า "ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ
(1) ปรับผู้รับจ้างเป็นรายวัน วันละ 765 บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์
2. ...
3. ...
ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 20 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย" เห็นว่าตามข้อสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 มีสิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันเฉพาะกรณีที่โจทก์ส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้บอกเลิกสัญญา จนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์ แต่ในระหว่างที่มีการปรับ ถ้าจำเลยที่ 1 เห็นว่าโจทก์ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้ สำหรับคดีนี้จำเลยที่ 1 มิได้ใช้สิทธิปรับโจทก์เพราะเหตุโจทก์ผิดสัญญาจ้างดังกล่าวมาก่อนวันบอกเลิกสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาจ้างในเวลาต่อมาจึงไม่อาจใช้สิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันตามสัญญาจ้างข้อ 19 (1) ได้ คงได้แต่ใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาจ้างเท่านั้น
โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ไม่รับมอบงานงวดที่ 2 และงวดที่ 3 และจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาในเวลาต่อมา เช่นนี้ โจทก์ก็ไม่อาจคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันส่งมอบงานงวดที่ 2 และงวดที่ 3ได้ คงคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้าง
ส่วนการใช้เหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด 50 x 50 x 4มิลลิเมตร ซึ่งไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่116 - 2517 นั้น แม้โจทก์รับว่าเหล็กดังกล่าวไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่ 116 - 2517 เพราะขณะทำการก่อสร้าง เหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวขาดตลาด แต่เหล็กที่โจทก์นำมาใช้ก็มีคุณสมบัติและลักษณะเช่นเดียวกันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้ฟังว่าโจทก์ไม่ผิดสัญญาจ้างในข้อนี้ ส่วนการที่จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 เคยมีหนังสือยืนยันและหนังสือรับรองว่า โครงเหล็กหลังคาถูกต้องตามแบบและเรียบร้อย และไม่ได้ทักท้วงตั้งแต่ตอนแรกว่าเหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)เลขที่ 116 - 2517 เพราะตามแบบรูปรายการละเอียดท้ายสัญญาจ้างเหล็กโครงสร้างหลังคามีเหล็กหลายขนาด และโจทก์ได้นำหลักฐานสำเนาใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ถูกต้องตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเลขที่ 116 - 2517 ตามเอกสารหมาย ปจ.9 มาแสดงต่อจำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 อาจสับสนและเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่ารวมทั้งเหล็กค้ำยันโครงหลังคาด้วยจึงได้ทำหนังสือยืนยันและหนังสือรับรองให้โจทก์ แต่ต่อมาเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าเอกสารหมาย ปจ.9 ที่โจทก์นำมาแสดงนั้นไม่มีรายการของเหล็กค้ำยันโครงหลังคาขนาด 50 x 50 x 4มิลลิเมตร รวมอยู่ด้วย จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 จึงได้โต้แย้งข้อนี้ภายหลัง กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไปโดยสุจริต ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย เมื่อตามแบบรูปรายการละเอียดท้ายสัญญาจ้างหมาย จ.4 กำหนดให้เหล็กที่ค้ำยันโครงหลังคาต้องเป็นเหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เลขที่ 116 - 2517 แต่โจทก์ใช้เหล็กขนาด 50 x 50 x 4 มิลลิเมตร ที่ไม่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวทำเหล็กค้ำยันโครงหลังคา แม้เหล็กดังกล่าวจะมีคุณสมบัติและลักษณะเช่นเดียวกัน โจทก์ก็ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างข้อนี้
โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาจ้าง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไปโดยสุจริต มิได้มีเจตนาจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว
สัญญาจ้างข้อ 19 ระบุว่า "ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ
(1) ปรับผู้รับจ้างเป็นรายวัน วันละ 765 บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์
2. ...
3. ...
ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 20 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย" เห็นว่าตามข้อสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 มีสิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันเฉพาะกรณีที่โจทก์ส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้บอกเลิกสัญญา จนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์ แต่ในระหว่างที่มีการปรับ ถ้าจำเลยที่ 1 เห็นว่าโจทก์ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาได้ สำหรับคดีนี้จำเลยที่ 1 มิได้ใช้สิทธิปรับโจทก์เพราะเหตุโจทก์ผิดสัญญาจ้างดังกล่าวมาก่อนวันบอกเลิกสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาจ้างในเวลาต่อมาจึงไม่อาจใช้สิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันตามสัญญาจ้างข้อ 19 (1) ได้ คงได้แต่ใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายตามสัญญาจ้างเท่านั้น
โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ไม่รับมอบงานงวดที่ 2 และงวดที่ 3 และจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาในเวลาต่อมา เช่นนี้ โจทก์ก็ไม่อาจคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันส่งมอบงานงวดที่ 2 และงวดที่ 3ได้ คงคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของ: พยานบุคคลสืบแก้ข้อความในสัญญาได้, แก้ไขข้อผิดพลาดคำพิพากษา
สัญญาจ้างทำของกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงจึงอาจนำพยานบุคคลมาสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขข้อความในสัญญาจ้างทำของได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา94 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยต้องชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์รวมเป็นเงิน248,625บาทแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจำนวน249,625บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็น248,625บาทเพื่อให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างแรงงานมีกำหนดเวลาหรือไม่? การเลิกจ้างโดยการบอกกล่าวล่วงหน้า และสิทธิการได้รับค่าชดเชย
จำเลยจ้างโจทก์เป็นไปตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด โดยเฉพาะเงื่อนไขข้อที่ไม่ให้ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศไทยไปประกอบอาชีพหรือหน้าที่อื่นใดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แต่ให้บุคคลดังกล่าวถ่ายทอดความรู้และฝึกสอนช่างภายในประเทศให้สามารถรับช่วงงานได้ รวมทั้งการอนุมัติตำแหน่งและกำหนดระยะเวลาการทำงานของคนต่างด้าวต้องผ่านมติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย เงื่อนไขและขั้นตอนดังกล่าวเป็นเรื่องที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดไว้ให้จำเลยปฏิบัติตามในกรณีที่จำเลยรับช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่เป็นคนต่างด้าวเช่นโจทก์ไว้ปฏิบัติงานในกิจการของจำเลย ซึ่งไม่ปรากฏว่าในการที่จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าครัวโดยมีหน้าที่จัดการและดำเนินการเกี่ยวกับครัวของโรงแรมจำเลยตลอดมานั้น เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขหรือมติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแต่อย่างใด หรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีอำนาจหน้าที่เข้าไปบริหารกิจการของจำเลยอย่างไร นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและโจทก์คงเป็นไปตามสัญญา ซึ่งระบุว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงาน อันสอดคล้องกับข้อความในสัญญาที่มีการระบุไว้ชัดเจนต้องตามบทบัญญัติ ป.พ.พ.ลักษณะจ้างแรงงาน เช่นว่า โจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำของคณะกรรมการบริหารของโรงแรม หากโจทก์ทุจริต ไม่ประพฤติตามคำบังคับบัญชา ประพฤติตัวต่ำทรามผิดกฎระเบียบตามกฎหมายไทยอย่างร้ายแรงหรือกระทำการขัดแย้งต่อผลประโยชน์และภาพพจน์ต่อสาธารณชนของจำเลยจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ เป็นต้น โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย
แม้ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.6 จะระบุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยการแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าก็ตาม แต่มิได้ระบุว่าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อใด ทั้งการที่โจทก์อยู่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยครบตามกำหนดที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอนุมัติเป็นคราว ๆ ไปนั้น หาทำให้สัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์จำเลยมีต่อกันสิ้นสุดลงไปด้วยไม่ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
ตามสัญญาจ้างให้สิทธิแก่จำเลยที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยการบอกกล่าวล่วงหน้าได้ โดยเฉพาะสัญญาจ้าง ข้อ 6 มีข้อความว่า "ระยะเวลาของสัญญานี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2533 จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 80 วัน" สัญญาข้อนี้ให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ตามที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการ โดยไม่จำต้องแสดงเหตุผลแห่งการเลิกจ้างแต่อย่างใดในเมื่อปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
แม้ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.6 จะระบุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยการแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าก็ตาม แต่มิได้ระบุว่าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อใด ทั้งการที่โจทก์อยู่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยครบตามกำหนดที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอนุมัติเป็นคราว ๆ ไปนั้น หาทำให้สัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์จำเลยมีต่อกันสิ้นสุดลงไปด้วยไม่ สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์
ตามสัญญาจ้างให้สิทธิแก่จำเลยที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยการบอกกล่าวล่วงหน้าได้ โดยเฉพาะสัญญาจ้าง ข้อ 6 มีข้อความว่า "ระยะเวลาของสัญญานี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2533 จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 80 วัน" สัญญาข้อนี้ให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ตามที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการ โดยไม่จำต้องแสดงเหตุผลแห่งการเลิกจ้างแต่อย่างใดในเมื่อปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างแรงงาน, การเลิกจ้าง, ค่าชดเชย, สิทธิของนายจ้าง, เหตุผลการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
จำเลยจ้างโจทก์เป็นไปตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดโดยเฉพาะเงื่อนไขข้อที่ไม่ให้ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศไทยไปประกอบอาชีพหรือหน้าที่อื่นใดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแต่ให้บุคคลดังกล่าวถ่ายทอดความรู้และฝึกสอนช่างภายในประเทศให้สามารถรับช่วงงานได้รวมทั้งการอนุมัติตำแหน่งและกำหนดระยะเวลาการทำงานของคนต่างด้าวต้องผ่านมติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วยเงื่อนไขและขั้นตอนดังกล่าวเป็นเรื่องที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดไว้ให้จำเลยปฏิบัติตามในกรณีที่จำเลยรับช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่เป็นคนต่างด้าวเช่นโจทก์ไว้ปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยซึ่งไม่ปรากฎว่าในการที่จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าครัวโดยมีหัวหน้าที่จัดการและดำเนินการเกี่ยวกับครัวของโรงแรมจำเลยตลอดมานั้นเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขหรือมติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแต่อย่างใดหรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีอำนาจหน้าที่เข้าไปบริหารกิจการของจำเลยอย่างไรนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและโจทก์คงเป็นไปตามสัญญาซึ่งระบุว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานอันสอดคล้องกับข้อความในสัญญาที่มีการระบุไว้ชัดเจนต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะจ้างแรงงานเช่นว่าโจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำของคณะกรรมการบริหารของโรงแรมหากโจทก์ทุจริตไม่ประพฤติตามคำบังคับบัญชา ประพฤติตัวต่ำทรามผิดกฎระเบียบตามกฎหมายไทยอย่างร้ายแรงหรือกระทำการขัดแย้งต่อผลประโยชน์และภาพพจน์ต่อสาธารณชนของจำเลยจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ เป็นต้นโจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลย แม้ตามสัญญาเอกสารหมายล.6จะระบุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยการแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าก็ตามแต่มิได้ระบุว่าให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อใดทั้งการที่โจทก์อยู่ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยครบตามกำหนดที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอนุมัติเป็นคราวๆไปนั้นหาทำให้สัญญาจ้างแรงงานที่โจทก์จำเลยมีต่อกันสิ้นสุดลงไปด้วยไม่สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ตามสัญญาจ้างให้สิทธิแก่จำเลยที่จะเลิกจ้างโจทก์โดยการบอกกล่าวล่วงหน้าได้โดยเฉพาะสัญญาจ้างข้อ6มีข้อความว่า"ระยะเวลาของสัญญานี้เริ่มตั้งแต่วันที่15มกราคม2533จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า80วัน"สัญญาข้อนี้ให้สิทธิแก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ตามที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการโดยไม่จำต้องแสดงเหตุผลแห่งการเลิกจ้างแต่อย่างใดในเมื่อปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแล้วการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทนายความมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการเป็นความ เป็นโมฆะ
จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องคดีขับไล่ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์250,000บาทมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีกับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน20,400บาทค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืนโจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้างเช่นนี้ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกันจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา133(เดิม)(มาตรา150ที่แก้ไขใหม่)ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบด้วยมาตรา246,247