คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 703 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังคำให้การในฐานะพยานและผู้ต้องหา, พยานแวดล้อม, การพิสูจน์ความผิดทางอาญา
ก่อนจับกุมจำเลย พนักงานสอบสวนได้เรียกจำเลยมาสอบสวนในฐานะพยานและทำบันทึกคำให้การไว้ ซึ่งตามบันทึกคำให้การดังกล่าว ก็ระบุว่าเป็นคำให้การของจำเลยในฐานะเป็นพยานมิใช่ในฐานะผู้ต้องหา ไม่มีข้อความที่แสดงว่าได้บอกให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่าถ้อยคำ ที่ผู้ต้องหากล่าวนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันตนในการพิจารณาได้ ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา134 บัญญัติไว้ เช่นนี้ จะถือว่าเป็นบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาไม่ได้เมื่อโจทก์ ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมให้ฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ตามฟ้อง ลำพังบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งให้การไว้ ในฐานะพยานมิใช่ในฐานะผู้ต้องหายังฟังลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4547/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดสนับสนุนการกระทำความผิดอาญา: ตัวการไม่มีความผิด ผู้สนับสนุนจึงไม่มีความผิด
จำเลยที่ 1 เป็นนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัด จำเลยที่ 2เป็นผู้ช่วยเสมียนยานพาหนะจังหวัดเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการไม่ได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 จึงไม่อาจจะมีผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดได้ จำเลยที่ 2จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนความผิดดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,91,147,157,161,162,264,265 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 83,147,161 ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 147,161ประกอบด้วยมาตรา 86 ข้อหาความผิดอื่นให้ยก เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองในข้อหาตามมาตรา157,264 และ 265 แล้วโจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ฝ่ายเดียว และศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามมาตรา 147 และ 161 จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามมาตรา 161ก็จะยกข้อหาตามมาตรา 157,264 และ 265 ซึ่งยุติไปแล้วขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4092/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต และการลงโทษในความผิดอาญาอื่นที่เชื่อมโยง
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายแต่การที่ศาลจะลงโทษจำเลยในข้อหามีและพาอาวุธปืน ฯ โดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ นั้นโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงเมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างไร ปืนที่จำเลยใช้กระทำผิดเป็นปืนมีทะเบียนหรือไม่ไม่อาจทราบได้ จึงลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯไม่ได้ แต่ปรากฏว่าบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในหมู่บ้าน ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดทางอาญา แม้ไม่มีอาวุธหรือยุยง แต่สมทบกำลังและรู้เห็นการกระทำผิด
ก่อนเกิดเหตุ จำเลยอยู่ด้วยกันกับพวกของจำเลยและได้วิ่งหนีไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ต่อมาอีก 1 ชั่วโมง จำเลยได้กลับเข้ามาในซอยเกิดเหตุกับพวกของจำเลยซึ่งมีอาวุธปืนยาวติดตัวมาเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า นั้นและยังร่วมวิ่งหนีออกจากซอยเกิดเหตุไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยาวยิงมาที่ผู้เสียหายและ พวก กรณีย่อมฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมมาและรู้เห็นกับพวกโดยตลอดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง มิใช่เป็นการมาพบกับพวกจำเลยในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ และแม้จำเลยมิได้มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยทั้งมิได้กล่าว ถ้อยคำยุยงให้พวกกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็เท่ากับเป็นการสมทบกำลังให้แก่พวกซึ่งเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดและเป็นพฤติการณ์อันต้องถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมด้วยในการกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดทางอาญา: การสมรู้ร่วมคิดและสมทบกำลังแม้ไม่มีอาวุธ
ก่อนเกิดเหตุ จำเลยอยู่ด้วยกันกับพวกของจำเลยและได้วิ่งหนีไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ต่อมาอีก 1 ชั่วโมง จำเลยได้กลับเข้ามาในซอยเกิดเหตุกับพวกของจำเลยซึ่งมีอาวุธปืนยาวติดตัวมาเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นและยังร่วมวิ่งหนีออกจากซอยเกิดเหตุไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยาวยิงมาที่ผู้เสียหายและพวก กรณีย่อมฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมมาและรู้เห็นกับพวกโดยตลอดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งมิใช่เป็นการมาพบกับพวกจำเลยในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญและแม้จำเลยมิได้มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยทั้งมิได้กล่าวถ้อยคำยุยงให้พวกกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็เท่ากับเป็นการสมทบกำลังให้แก่พวกซึ่งเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดและเป็นพฤติการณ์อันต้องถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมด้วยในการกระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิธีเพิ่มโทษทางอาญา ศาลฎีกาแก้ไขการคำนวณโทษและลดโทษจำเลย
ปัญหาเรื่องวิธีเพิ่มโทษ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้
เมื่อศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยอีกไม่ได้ ฉะนั้นแม้คดีจะมีส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลดศาลจะไม่เพิ่มไม่ลดหาได้ไม่ เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 ให้เพิ่มโทษก่อนแล้วจึงลดจากผลที่ได้เพิ่มแล้วนั้น แต่กรณีนี้การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 ไม่อาจทำได้ ศาลจึงต้องลดโทษให้แก่จำเลยสถานเดียว
โทษจำคุกตลอดชีวิตเมื่อรวมกับโทษจำคุกกระทงอื่นแล้วคงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องอาญา: การระบุตัวบุคคลในฐานะผู้ชำระเงิน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นพนักงานของโรงพยาบาลมีหน้าที่รับเงินและออกใบเสร็จให้แก่ผู้มารักษา จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต เรียกเก็บเงินจากผู้ป่วย 500 บาททั้งที่ค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริงมีเพียง 250 บาท โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินจำนวน 500 บาทจากผู้มีชื่อซึ่งเป็นค่ายาของผู้ป่วย แม้คำฟ้องจะไม่ได้ระบุว่าผู้มีชื่อ หรือผู้ป่วยนั้นเป็นใครมีชื่อว่าอย่างไร มีกี่คน แต่ก็ได้ระบุเล่มและเลขที่ของใบเสร็จรับเงินที่จำเลยออกให้แก่ผู้ป่วยไว้ชัดแจ้ง จำเลยย่อมจะทราบดีว่าจำเลยได้รับเงินจากผู้ป่วยหรือผู้ชำระเงินรายใด เพราะจำเลยเป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเอง และในใบเสร็จรับเงินที่จำเลยออกก็มีรายการว่าได้รับเงินจากใครไว้ด้วย คำร้องของโจทก์ได้บรรยายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีอาญา ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้หากข้อเท็จจริงเกินกว่าที่บรรยายในคำฟ้อง
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและชิดท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับนำอยู่ทางด้านขวา ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อใกล้ทางร่วมทางแยกศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องมาลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความทางอาญา: การกำหนดวันเวลาเริ่มกระทำความผิดที่ถูกต้องเพื่อมิให้ขาดอายุความ
เงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยขาดบัญชีไประหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 แต่โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่17 มิถุนายน 2505 ถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2505 โดยหาได้มีข้อเท็จจริงใด ๆ ที่แสดงว่าจำเลยเริ่มกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2505 ตามฟ้องไม่ เป็นเพียงแต่ถือเอาตามระยะเวลาดังกล่าวเพื่อมิให้คดีโจทก์ขาดอายุความเท่านั้น เพราะหากฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2505 แล้วคำนวณหถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 20 ปี คดีจะขาดอายุความ การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในช่วงระยะเวลาดังกล่าวในฟ้อง จึงปราศจากหลักเกณฑ์ที่แน่นอน และมิใช่วันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดอันแท้จริง เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดที่แท้จริงเมื่อใดและการกระทำความผิดของจำเลยอยู่ในช่วงระยะเวลาที่ไม่ขาดอายุความแล้วก็ลงโทษจำเลยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจากปรับเป็นจำคุก ทำให้จำเลยต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเครื่องกระสุนปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครอง ปรับ 2,400 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปีสถานเดียว จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจมีกระสุนปืนเล็กกลจำนวน 23 นัดอันเป็นเครื่องกระสุนปืนนอกจากที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 11 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองของจำเลย จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าไม่มีเจตนาครอบครองกระสุนปืนเล็กกลของกลางดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว
ฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
of 71