พบผลลัพธ์ทั้งหมด 746 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาเช่าซื้อและการคืนเงินค่าเช่าซื้อ ไม่ใช่การผิดสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์จำเลยสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถยนต์คืนไปแล้ว จึงมีหน้าที่ต้องคืนราคารถยนต์ที่ได้รับไว้จากโจทก์ให้แก่โจทก์ กรณีมิใช่เป็นการผิดสัญญาเช่าซื้ออันเป็นเหตุที่จะทำให้จำเลยมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้ส่งชำระมาตามสัญญาเช่าซื้อได้
จำเลยเคยฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และเรียกค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรียกทรัพย์คืนจากจำเลยตามผลคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าว กรณีเป็นคนละประเด็นแตกต่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
จำเลยเคยฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และเรียกค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรียกทรัพย์คืนจากจำเลยตามผลคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าว กรณีเป็นคนละประเด็นแตกต่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าซื้อรถมีสิทธิทำประกันภัย และผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในค่าเสียหายที่เกิดจากความประมาทของผู้ขับ
โจทก์ผู้เช่าซื้อรถโดยสารเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถที่เช่าซื้อมีสิทธิเอาประกันภัยความเสียหายอันอาจเกิดแก่รถนั้นได้เมื่อโจทก์นำรถนั้นไปร่วมรับส่งคนโดยสารกับบริษัท ขนส่ง จำกัดเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันแล้วไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกโดยประมาทเลินเล่อโจทก์และบริษัท ขนส่ง จำกัดจึงต้องร่วมกันรับผิดโดยจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในนามของโจทก์เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วจึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยรับผิดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ส่วนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยเป็นข้อตกลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้นจำเลยจะยกเอาเงื่อนไขนี้มาปัดความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7309/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำพิพากษาเกินเลยคำฟ้อง: การชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายและเช่าซื้อรถยนต์
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อและเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยโดยจำเลยสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยก็มิได้โอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนได้ก็ให้จ่ายเงินมัดจำ เงินงวดค่าเช่าซื้อและคืนเงินค่าโอนทะเบียนรถรวมเป็นเงิน 407,514 บาท แก่โจทก์ และมีคำขอให้บังคับจำเลยโอนทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 50,000 บาท แก่โจทก์แม้จะเรียกว่าค่าเสียหายแต่ก็เป็นเงินที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระเนื่องจากการผิดสัญญาที่ไม่สามารถโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ตามฟ้องนั่นเอง จึงมิได้เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ และสิทธิในการขอคืนรถยนต์ที่ถูกริบ
จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่4ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่9กรกฎาคม2536เป็นต้นมาเพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมดในวันที่18มกราคม2537ก่อนที่จำเลยที่1จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้เพียง1วันรายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่4ถึงที่8จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลังเพื่อเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวดอันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลางเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่1ว่าหลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้วผู้ร้องจะให้จำเลยที่1เช่าซื้อต่อไปรวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ9ว่าในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อแต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายต่างๆให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้งๆที่จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวดจนกระทั่งจำเลยที่1นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนอันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1เข้าลักษณะเป็นผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่1ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทการเช่าซื้อรถยนต์: การชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนและการโอนกรรมสิทธิ์
คดีที่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 โต้เถียงกันว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเอง ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาท และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน และยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ได้
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาท และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน และยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีเช่าซื้อรถยนต์: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาททำให้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และประเด็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้
คดีที่โจทก์จำเลยที่1และที่2โต้เถียงกันว่าจำเลยที่1และที่2ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเองซึ่งไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่1และที่2ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่1และที่2ครบถ้วนแล้วหรือไม่จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนและยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6588/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทชำระค่าเช่าซื้อ แม้มีการบอกเลิกสัญญาและยึดรถ ก็ยังถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยออกเช็คพิพาท2ฉบับให้ผู้เสียหายเพื่อชำระค่าเช่าซื้อรถเกรดแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะจำเลยมีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายต่อมาผู้เสียหายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยึดรถเกรดคืนไปจากจำเลยแม้มีผลทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่ผู้เสียหายอีกต่อไปก็หาทำให้ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วระงับไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยตกลงกัน และหน้าที่คืนสภาพทรัพย์สินตามกฎหมาย
ฟ้องโจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าซื้อได้กำหนดวันชำระค่าเช่าซื้อไว้แน่นอนเมื่อจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจึงถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันโดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่1มิได้เป็นผู้ผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นการต่อสู้ว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองยังไม่เลิกกันศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเลิกกันแล้วหรือไม่ด้วยเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่1มิได้ผิดสัญญาแต่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วจึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องและนอกประเด็น เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไม่ว่าจะโดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือโดยคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากันก็ตามคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้นการที่จะชดใช้คืนให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นฯตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่1ชดใช้เงินค่าใช้ทรัพย์ให้โจทก์นั้นหาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่1มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5784/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, ค่าเสื่อมราคา, ส่วนควบ, ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้, การชดใช้ค่าเสียหาย
ข้อกำหนดที่ให้จำเลยชดใช้ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อก็คือราคารถยนต์ที่ยึดคืนมาขายได้น้อยกว่าราคาที่เช่าซื้อที่จำเลยต้องรับผิดนั่นเองข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับซึ่งศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ถ้าเห็นว่าสูงเกินส่วน ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาไม่ใช่ค่าเช่าซื้อหรือเงินอื่นใดที่ค้างชำระดังที่สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ให้เรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ1.75ต่อเดือนหากแต่เป็นหนี้เงินซึ่งโจทก์สามารถเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224วรรคหนึ่งเท่านั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์เป็นผู้นำกระบะบรรทุกมาติดตั้งประกอบเข้ากับรถยนต์ที่เช่าซื้อกระบะบรรทุกดังกล่าวจึงเป็นส่วนควบของรถยนต์ที่เช่าซื้อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์อันถือได้ว่าเป็นเจ้าทรัพย์เป็นประธานย่อมเป็นเจ้าของกระบะบรรทุกที่ติดตั้งประกอบเข้ากับรถยนต์ที่เช่าซื้อแต่ผู้เดียวแต่ต้องใช้ค่ากระบะรถบรรทุกนั้นให้แก่จำเลยที่1ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1316วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5466/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายสิทธิเช่าซื้อที่ดิน แม้ไม่ทำหนังสือก็มีผลผูกพัน หากมีการชำระหนี้บางส่วน
สิทธิเช่าซื้อที่ดินพร้อมอาคารของจำเลยที่มีอยู่ต่อการเคหะแห่งชาติเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งที่สามารถซื้อขายกันได้ข้อตกลงซื้อขายสิทธิดังกล่าวแม้ไม่ทำเป็นหนังสือแต่โจทก์ชำระหนี้เนื่องในการซื้อขายแก่จำเลยบ้างแล้วมีผลผูกพันระหว่างจำเลยผู้ขายกับโจทก์ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคสองโจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยไปทำการโอนสิทธิดังกล่าวแก่โจทก์ได้