คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2407-2408/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับ เพราะคำขอฎีกาขัดแย้งกับคำขอในอุทธรณ์ และไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับคดีไปตามฟ้องแย้ง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นบางข้อ และพิพากษาใหม่ทุกประเด็น เป็นการสมประโยชน์ตามคำขอของจำเลยในชั้นอุทธรณ์แล้ว จำเลยจะฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์.โดยไม่ต้องสืบพยานอีกไม่ได้ เพราะเป็นคำขอที่ขัดกันกับคำขอของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของจำเลยแล้ว
ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์กล่าวไว้ว่า ยังไม่จำต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์นั้น หากจำเลยไม่ได้ฎีกาขึ้นมาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบประการใด เป็นฎีกาที่จำเลยไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2378/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญาที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องเนื่องจากไม่มีมูล
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ข้อหายักยอกทรัพย์ ศาลแขวง ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ กรณีเช่นนี้คู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ แม้โจทก์จะได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฎีกาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368-2369/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาก่อนมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์: ทิ้งฟ้องอุทธรณ์และการจำหน่ายคดี
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยผู้อุทธรณ์ไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์สั่งเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์เกินกำหนดไป 1 วัน เพราะศาลชั้นต้นออกหมายนัดส่งไปยังกองบังคับคดีแพ่งล่าช้า และตามพฤติการณ์ยังไม่สมควรที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีให้ยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จะฎีกาก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษามิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365-2367/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาก่อนมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยผู้อุทธรณ์ ไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์สั่งเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวน แล้วศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์เกินกำหนดไป 1 วัน เพราะศาลชั้นต้นออกหมายนัดส่งไปยังกองบังคับคดีแพ่งล่าช้า และตามพฤติการณ์ยังไม่สมควรที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี.ให้ยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์จะฎีกาก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษามิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ฟ้องร้องเกิน 5,000 บาท คดีมรดกและการแบ่งทรัพย์
โจทก์ 4 คน ร่วมกันฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์โดยตั้งทุนทรัพย์รวมกันเป็นเงิน 6,514 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทออกเป็น 9 ส่วนให้โจทก์ได้คนละ 1 ส่วน ดังนี้ เมื่อโจทก์ทั้ง 4 ฟ้องรวมกันเป็นเงินเกินกว่า 5,000 บาทแล้ว จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเหตุจิตบกพร่องหลังศาลชั้นต้นพิพากษา: ข้อจำกัดในการอุทธรณ์และฎีกา
จำเลยเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีเป็นลำดับมา โดยมีทนายความคอยช่วยเหลือจนเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยไม่สมควร ต้องรับโทษเพราะเหตุจิตบกพร่องตามมาตรา 65 ขึ้นกล่าวอ้างในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การรับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกา จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเหตุจิตบกพร่องหลังศาลชั้นต้นพิพากษาถือเป็นข้อต้องห้ามมิให้รับวินิจฉัยในชั้นฎีกา
จำเลยเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีเป็นลำดับมา โดยมีทนายความคอยช่วยเหลือจนเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ยกเหตุที่ จำเลยไม่สมควร ต้องรับโทษเพราะเหตุจิตบกพร่องตามมาตรา 65 ขึ้นกล่าวอ้างในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การรับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกา จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้เถียงข้อเท็จจริงในฎีกาอาญา กรณีอุบัติเหตุทางน้ำ ความรับผิดชอบทางอาญา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยขับเรือออกไปจากท่าด้วยความเร็วปกติในขณะที่ยังไม่มีพายุคลื่นลม พายุและคลื่นปั่นป่วนเพิ่งเกิดขึ้นในทันใดเมื่อจำเลยขับเรือออกไปจากท่าแล้วได้ประมาณ 10 เส้น ได้พัดเรือของจำเลยล่มจมลงไปทันทีนั้นเอง อันเป็นอุบัติเหตุ หาใช่เพราะจำเลยขับเรือด้วยความเร็วสูงฝ่าพายุไป อันเป็นการกระทำโดยประมาทตามโจทก์ฟ้องไม่ ดังนี้ การที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมา เป็นการกระทำโดยประมาทตามกฎหมาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงมีผลเท่ากับโต้เถียงว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะการกระทำโดยประมาทของจำเลย ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่สมบูรณ์เมื่อจำเลยบางส่วนไม่มีทนาย และการตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีทนาย แต่จำเลยที่ 1ไม่มีทนาย ฎีกาทำเป็นฉบับเดียว ลงชื่อทนายของจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ฎีกา จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีทนายไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้ฎีกาด้วย ฉะนั้น แม้ฎีกาฉบับนี้จะได้ระบุชื่อของจำเลยที่ 1 ไว้ในฎีกาหน้าแรกว่าเป็นผู้หนึ่งที่ขอยื่นฎีกาด้วยก็ตาม ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาของจำเลยที่1 ด้วย ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งห้า ซึ่งหมายรวมถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น จึงคลาดเคลื่อน ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 เท่านั้น ฎีกา
การกระทำอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) นั้นต้องเป็นการลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ แต่ตามฟ้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจผิดกฎหมายไขตู้โชว์แล้วลักเอาทรัพย์ไป ฉะนั้น แม้จะฟังข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ก็ไม่ใช่เป็นการลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไป ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ และข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องดุลพินิจโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นลงโทษจำคุก 1 ปีสถานเดียว และไม่รอการลงโทษ คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จำเลยจึงฎีกาในเรื่องดุลพินิจขอให้วางโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหาได้ไม่
of 303