พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดี: ศาลจำกัดการพิพากษาตามที่โจทก์ฟ้องและเสียค่าขึ้นศาล แม้ข้อเท็จจริงจะพิสูจน์ได้มากกว่า
ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดิน 4 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 4 ไร่เท่านั้น แม้จะฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 30 ไร่เป็นของโจทก์ ศาลก็พิพากษาให้โจทก์ชนะได้เพียง 4 ไร่ เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำฟ้อง: โจทก์ฟ้องเฉพาะส่วนใดของที่ดิน ศาลพิพากษาได้เฉพาะส่วนนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ถึงที่ดินทั้งหมด
ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดิน 4 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 4 ไร่เท่านั้น แม้จะฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 30 ไร่เป็นของโจทก์ ศาลก็พิพากษาให้โจทก์ชนะได้เพียง 4 ไร่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโฆษณาดูหมิ่นพระภิกษุ: ศาลลงโทษฐานความผิดตามข้อเท็จจริง แม้ฟ้องผิดฐาน
คดีที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
โจทก์ฟ้องว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคายผิดวิสัยปัญญาชนของชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ โดยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาทและขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้องศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นและตามฐานความผิดที่ถูกต้อง คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่น ตามมาตรา 393 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา: ศาลต้องพิจารณายกคำร้องหากอุทธรณ์มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นนัดไต่สวนอนาถา ครั้นถึงวันนัดได้สั่งงดไต่สวนเสีย โดยว่าไม่จำเป็นและมีคำสั่งว่า ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ก็พึงยกคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสาม หาควรที่จะก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เสียทีเดียวไม่ จึงพิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้คืนจำเลยไป (คดีนี้จำเลยฎีกาได้)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองทางภารจำยอม: ศาลวินิจฉัยนอกฟ้องแต่ฟังเป็นทางภารจำยอมได้จากข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม แต่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในทางพิพาทโดยไม่วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากฟ้อง
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ 1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ได้ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ 1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ได้ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs. ยักยอก/รับของโจร: การพิสูจน์เจตนาและข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงในศาล
คดีลักทรัพย์ การที่โจทก์ขอแก้ชื่อเจ้าทรัพย์ซึ่งเป็นการขอแก้รายละเอียดหากจำเลยไม่หลงต่อสู้แล้ว โจทก์ย่อมแก้ฟ้องได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่นซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยังไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่าย เมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไป จำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหาย จำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่นซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยังไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่าย เมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไป จำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหาย จำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs. รับของโจร: การพิพากษาที่เปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงและการแก้ฟ้อง
คดีลักทรัพย์ การที่โจทก์ขอแก้ชื่อเจ้าทรัพย์ซึ่งเป็นการขอแก้รายละเอียดหากจำเลยไม่หลงต่อสู้แล้ว โจทก์ย่อมแก้ฟ้องได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่น ซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยัง ไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่ายเมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไปจำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหายจำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐาน รับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่อมนาผู้อื่น ซึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายเพราะความยึดถือของเจ้าทรัพย์ยัง ไม่ขาดตอนไป ซึ่งจำเลยควรจะรู้ว่าหากจำเลยไม่พาเอาไปเสียเจ้าของก็ยังติดตามเอาคืนได้ง่ายเมื่อจำเลยเอากระบือนั้นไปจำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่ยักยอกเก็บของตกไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหายจำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริตเป็นผิดฐาน รับของโจร ดังนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่ต้องห้าม โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมคำให้การหลังวันชี้สองสถาน จำเลยต้องแสดงเหตุผลที่มิอาจยื่นก่อนได้ หากทราบข้อเท็จจริงแล้วตั้งแต่แรก
จำเลยให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นสัญญาปลอมหลังวันชี้สองสถานจำเลยขอเพิ่มเติมคำให้การเดิม แสดงความเป็นมาของสัญญาปลอมนั้น ความเป็นมาของสัญญาปลอมนั้นเป็นอย่างไร จำเลยย่อมทราบได้ดีก่อนวันชี้สองสถาน เมื่อจำเลยยื่นภายหลังวันชี้สองสถานและคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำร้อง ของจำเลยจึงต้องยกเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาต้องระบุข้อเท็จจริงครบถ้วนพอให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ หากฟ้องด้วยวาจาอ้างหลักฐานบาดเจ็บสาหัส ศาลพิจารณาประกอบได้
ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และมาตราซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงมาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหา ถ้าให้การรับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใด ศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ ก็พิพากษาลงโทษไปได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาต้องระบุข้อเท็จจริงชัดเจนพอให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ หากฟ้องไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานอื่นประกอบก็ใช้ได้
ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและมาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหาถ้าให้การ รับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใดศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ก็พิพากษาลงโทษไปได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)