พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้องอาญา: การระบุช่วงเวลากลางคืนและพยานหลักฐาน
ฟ้องคดีอาญาที่กล่าวว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อระหว่างวันที่ 16 ถึง 17 มิถุนายน 2491 เวลากลางคืนนั้น พอเข้าใจได้ว่าหมายถึงคืนระหว่างวันที่ 16-17 ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายควบคุมข้าว: ศาลต้องพิจารณาพยานหลักฐานแม้จำเลยรับสารภาพ
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่นๆ ในภาวะคับขัน 2488 กับ พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว 2489มิใช่กฎหมายที่ใช้แทนกันหรือขัดกัน (อ้างฎีกาที่ 197,198/2491)
คดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงถึง 10 ปี แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
คดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงถึง 10 ปี แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการให้เนื่องจากผู้รับประพฤติเนรคุณ: การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในลักษณะแพ่ง
คดีเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น การชั่งน้ำหนักพะยานหลักฐานแห่งคดี จึงควรเป็นไปโดยลักษณะความแพ่ง กล่าวคือเทียงเคียงน้ำหนักคำพะยานทั้งสองฝ่ายประกอบกับพฤตติการณ์แห่งคดีว่าควรจะเชื่อฝ่ายใด ศาลไม่จำต้องพิเคราะห์คำพะพยาน หลักฐานอย่างคดีอาญาอันว่าด้วย การที่จำเลยจะต้องรับโทษ
พฤตติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณ โดยผู้รับได้หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 531(2).
พฤตติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณ โดยผู้รับได้หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 531(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกถอนคืนการให้เพราะผู้รับประพฤติเนรคุณ: การพิจารณาพยานหลักฐานตามลักษณะความแพ่ง
คดีเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแห่งคดี จึงควรเป็นไปโดยลักษณะความแพ่งกล่าวคือเทียบเคียงน้ำหนักคำพยานทั้งสองฝ่ายประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีว่าควรจะเชื่อฝ่ายใด ศาลไม่จำต้องพิเคราะห์คำพยานหลักฐานอย่างคดีอาญาอันว่าด้วย การที่จำเลยจะต้องรับโทษ
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณ โดยผู้รับได้หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 531(2)
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณ โดยผู้รับได้หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 531(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการฟ้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินและยืนยันไม่มีทางสาธารณะ แม้เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ
การที่โจทก์จะมาขอให้ศาลสั่งแสดงว่า ที่ดินแปลงใดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เด็ดขาดทั้งสิ้นโดยปราศจากทางเดินสาธารณะนั้น โจทก์ย่อมทำได้ แม้แต่จะเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เมื่อโจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แต่โจทก์ก็จะต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้เพียงพอแก่การที่จะสั่งตามคำขอของโจทก์นั้นได้
จำเลยเคยไปร้องต่อตำรวจว่า ทางในที่ดินของโจทก์เป็นทางสาธารณะ โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยขอให้แสดงว่าที่ของโจทก์ไม่มีทางสาธารณะได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 24/92)
จำเลยเคยไปร้องต่อตำรวจว่า ทางในที่ดินของโจทก์เป็นทางสาธารณะ โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยขอให้แสดงว่าที่ของโจทก์ไม่มีทางสาธารณะได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 24/92)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699-1704/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานชัดเจน คำรับสารภาพและคำให้การฝ่ายเดียวไม่เพียงพอ
คดีอาญามีปัญหาฉะเพาะข้อกฎหมายซึ่งศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อปรากฎว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง โดยไม่มีคำพะยานในสำนวนสนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้นพิจารณาได้
ถ้ามีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพะยานหลักฐาน.
ถ้ามีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพะยานหลักฐาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699-1704/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพและพยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ได้
คดีอาญามีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายซึ่งศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง โดยไม่มีคำพยานในสำนวนสนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้นพิจารณาได้
คดีมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพยานหลักฐาน
คดีมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจงดสืบพยานเมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่เป็นความจริง และสิทธิคนต่างด้าวถือครองที่ดิน
ศาลเห็นว่าพะยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบพอฟังเป็นยุติได้ว่า คดีโจทก์ไม่เป็นความจริง ก็มีอำนาจงดสืบพะยานต่อไปได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้คืนที่ดินให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นความจริง แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินคนต่างด้าว ฯ ใช้อยู่และตัวจำเลยเป็นคนต่างด้าวก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้.
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้คืนที่ดินให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นความจริง แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินคนต่างด้าว ฯ ใช้อยู่และตัวจำเลยเป็นคนต่างด้าวก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจงดสืบพยาน & การบังคับคืนที่ดิน: ศาลมีอำนาจงดสืบพยานเมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่เป็นความจริง และสถานะคนต่างด้าวไม่ใช่เหตุให้บังคับคืนที่ดิน
ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบพอฟังเป็นยุติได้ว่าคดีโจทก์ไม่เป็นความจริง ก็มีอำนาจงดสืบพยานต่อไปได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้คืนที่ดินให้โจทก์โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นความจริง แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินคนต่างด้าวฯ ใช้อยู่และตัวจำเลยเป็นคนต่างด้าว ก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้คืนที่ดินให้โจทก์โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อคดีโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นความจริง แม้จะมีกฎหมายว่าด้วยที่ดินคนต่างด้าวฯ ใช้อยู่และตัวจำเลยเป็นคนต่างด้าว ก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ของกลางต้องนำสืบในศาลจึงเป็นพยานหลักฐานได้ แม้จับกุมได้ก็ไม่ถือเป็นพยานหากมิได้นำมาศาล
คดีอาญา แม้จะปรากฎว่าจับของกลางได้ก็ดี แต่โจทก์มิได้นำของกลางมาอ้างเป็นพะยานในศาล จะเรียกว่าเป็นพะยานวัตถุในศาลไม่ได้ และศาลย่อมไม่ถือว่า สิ่งที่มิได้อ้างมาเป็นพะยานนั้นเป็นพะยานหลักฐานในศาล แม้พะยานบุคคลจะได้เบิกความกล่าวข้อความพาดพิงถึงของกลางเหล่านั้น ก็หาเรียกวัตถุที่ถูกกล่าวอ้างอิงพาดพิงถึงนั้นว่าเป็นวัตถุพะยานไม่
ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายว่า ถ้ามีของกลาง โจทก์จะต้องนำของกลางส่งศาลให้เป็นวัตถุพะยาน ถ้าไม่นำส่งจะต้องถูกยกฟ้อง
ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายว่า ถ้ามีของกลาง โจทก์จะต้องนำของกลางส่งศาลให้เป็นวัตถุพะยาน ถ้าไม่นำส่งจะต้องถูกยกฟ้อง