คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนนาที่เช่าเมื่อมีการขายฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และขอบเขตการอุทธรณ์คดีมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 20,000 บาท
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1387/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีตาม พรฎ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) หากยังไม่ได้ถูกประเมินภาษี โจทก์มีสิทธิฟ้องได้โดยไม่ต้องอุทธรณ์
จำเลยได้มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลสั่งให้โจทก์นำไปชำระภายหลังที่ พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ใช้บังคับ โจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนด และชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตาม มาตรา 30 แห่ง พระราชกำหนด ดังกล่าว โดยได้รับยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร ผู้ที่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรา 30 นั้น หมายถึงผู้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรหรือให้นำส่งภาษีอากรก่อนวันที่ พระราชกำหนด นี้ใช้บังคับเท่านั้น
เมื่อโจทก์ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรแล้ว การประเมินและคำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับ เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการประเมินและไม่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.แรงงานฯ มาตรา 54 ภายใน 15 วัน
คดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแรงงาน เป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เฉพาะแต่ในข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางในคดีขัดทรัพย์ต้องเป็นไปตามมาตรา 54 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ ภายใน 15 วัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแรงงานกลาง คดีจึงเป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน การอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามวิธีที่ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54กล่าวไว้โดยเฉพาะ นั่นคือ จะกระทำได้ก็แต่เฉพาะ การอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น จะอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หลังจากพ้นกำหนดให้อุทธรณ์นั้นแล้วมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.แรงงาน ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัย
คดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแรงงาน เป็นคดีที่สืบเนื่องมาจากคดีแรงงาน เมื่อศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เฉพาะแต่ในข้อกฎหมายไปยังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคำสั่งนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายในกำหนดเวลา และสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องโจทก์และสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ ซึ่งถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่าได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2 แล้วแต่ส่งไม่ได้ขอให้จัดส่งใหม่ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าส่งไม่ได้แล้ว เมื่อนับจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับ จำเลยที่ 2 นั้นเกิน 15 วัน แล้วการที่โจทก์ไม่แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบเป็นการทิ้งฟ้อง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2ออกจากสารบบความได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ทำให้คดีเสร็จทั้งเรื่องแต่เป็นเหตุให้คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นไปจึงไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง กรณีเช็คพิพาท
ในคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาใน ศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ใจความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นการออกเช็คโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง คดีเช็คพิพาท
ในคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22โจทก์อุทธรณ์ใจความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นการออกเช็คโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งพิจารณาใหม่ในคดีแรงงาน: เหตุผลความจำเป็น, การขาดนัด, และข้อจำกัดการอุทธรณ์
คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาใหม่เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษา จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้
ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ว่า เป็นคำขอที่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลแรงงานกลางแล้วโจทก์จะยกปัญหาที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติไปดังกล่าวแล้ว ขึ้นมาอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
จำเลยที่ 1 เดินทางไปต่างประเทศก่อนถูกฟ้องและไม่เคยกลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย จำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถแถลงขอให้ศาลพิจารณาใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัด ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจที่จะให้จำเลยที่ 1 ได้พิจารณาใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 และ 209 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งพิจารณาใหม่คดีแรงงาน: การขาดนัด-เหตุจำเป็น-การอุทธรณ์คำสั่ง
คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาใหม่เกิดขึ้นภายหลังคำพิพากษา จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้
ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 ว่า เป็นคำขอที่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความขาดนัดและข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลแรงงานกลางแล้วโจทก์จะยกปัญหาที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติไปดังกล่าวแล้ว ขึ้นมาอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
จำเลยที่ 1 เดินทางไปต่างประเทศก่อนถูกฟ้องและไม่เคยกลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย จำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถแถลงขอให้ศาลพิจารณาใหม่ภายในกำหนดเจ็ดวันตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้จงใจขาดนัด ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจที่จะให้จำเลยที่ 1 ได้พิจารณาใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 และ 209 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.
of 349