พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1296/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีภาษีอากรเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและอายุความ รวมถึงการคิดดอกเบี้ยเงินเพิ่ม
ประมวลรัษฎากรได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระค่าภาษี จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยจากค่าภาษีที่ค้างชำระอีก
จำเลยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จะใช้แบบพิมพ์คำร้องมิได้ใช้แบบพิมพ์อุทธรณ์ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับมาโดยมิได้สั่งให้ทำใหม่ ก็พออนุโลมว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายได้
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ มาตรา 25 ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ปัญหาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ สินค้าที่นำเข้ามีราคาที่แท้จริงเป็นจำนวนเท่าใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีอากรพร้อมด้วยเงินเพิ่มจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดมีเพียงว่าข้ออ้างของโจทก์ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นมีมูลที่จำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่คดีไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้แม้ศาลภาษีอากรกลางจะวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้มาก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
จำเลยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จะใช้แบบพิมพ์คำร้องมิได้ใช้แบบพิมพ์อุทธรณ์ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับมาโดยมิได้สั่งให้ทำใหม่ ก็พออนุโลมว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายได้
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ มาตรา 25 ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ปัญหาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ สินค้าที่นำเข้ามีราคาที่แท้จริงเป็นจำนวนเท่าใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีอากรพร้อมด้วยเงินเพิ่มจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดมีเพียงว่าข้ออ้างของโจทก์ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นมีมูลที่จำเลยจะต้องรับผิดหรือไม่คดีไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้แม้ศาลภาษีอากรกลางจะวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้มาก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกายกอุทธรณ์ เพราะจำเลยไม่ได้อ้างเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้าง
อุทธรณ์ของจำเลยมิได้อ้างเหตุที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์เรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ก็มิได้กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น การที่จะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดี อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องในชั้นอุทธรณ์: หน้าที่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
อุทธรณ์เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1 (3) จำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยเป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วันตามที่ศาลชั้นต้นสั่งย่อมถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 (1) ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องนี้และบทบัญญัติในสองมาตราดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาลแะการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงชอบแล้ว
แม้จะฟังว่าจำเลยวางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนดก็ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้
แม้จะฟังว่าจำเลยวางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนดก็ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำส่งอุทธรณ์: จำเลยในฐานะโจทก์ชั้นอุทธรณ์ต้องจัดการนำส่งเอง แม้จะวางเงินค่าส่งแล้วก็ยังต้องจัดการนำส่งให้ครบถ้วน
อุทธรณ์เป็นคำฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ซึ่งมาตรา 70 ที่ใช้บังคับในขณะนั้นก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้โจทก์จัดการนำส่ง จำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยเป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้น สั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยมิได้นำส่ง สำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า เป็นการทิ้งฟ้องตาม มาตรา 174(2) ซึ่งตามมาตรา 132(1) ให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ได้โดยอนุโลมตามมาตรา 246 แม้จำเลยวางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์แล้วจำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อไม่จัดการนำส่งภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ชอบที่ศาลจะจำหน่ายคดีเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามอุทธรณ์ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว และประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟัง
ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความไปแล้ว และย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่น เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีใหม่ จำเลยจะยกปัญหาดังกล่าวซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยยุติไปแล้วขึ้นอุทธรณ์อีกไม่ได้ ต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เมื่อโจทก์จำเลยมิใช่นายจ้างลูกจ้างกันแล้ว กรณีโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่คดีพิพาทที่เกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จำนำคดีมาฟ้องยังศาลแรงงานได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย พิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง จำเลยมีสิทธิ์เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชย ฯลฯ แก่โจทก์ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งเงินทดแทน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลแรงงาน
อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากความเห็นแพทย์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์การวินิจฉัยข้อเท็จจริงทางการแพทย์ในคดีเงินทดแทน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากความเห็นแพทย์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ และการพิสูจน์ความประมาทของผู้ขับขี่ในคดีรถชน
คำสั่งศาลไม่ขยายเวลาให้โจทก์คัดสำเนาเอกสารหรือไม่เลื่อนการพิพากษาคดีไปเป็นการตัดพยานโจทก์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อโจทก์มีเวลาพอที่จะโต้แย้งคำสั่งแต่มิได้โต้แย้งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โจทก์เป็นผู้โดยสารในรถยนต์คันที่ชนกับรถบรรทุกที่จำเลยที่1ขับโจทก์ฟ้องว่าเหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของฝ่ายจำเลยแต่จำเลยให้การปฏิเสธในข้อนี้โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างหน้าที่นำสืบตกแก่โจทก์โจทก์จึงต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างของตน.