คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อเท็จจริง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่ากรณีผิดสัญญาเช่าช่วง และการอุทธรณ์ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงนั้นให้ ย่อมจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
ในกรณีที่ผู้เช่าผิดสัญญาเช่า โดยเอาห้องพิพาทไปให้เช่าช่วงอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 544 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่จำต้องกำหนดให้เวลาผู้เช่าเหมือนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 560 และ 566.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องผิดตำบลไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ศาลลงโทษได้ตามข้อเท็จจริง
ฟ้องผิดตำบล ถ้าจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ศาลพิพากษาลงโทษได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องผิดตำบลที่เกิดเหตุ แต่จำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลลงโทษได้ตามข้อเท็จจริง
ฟ้องผิดตำบล ถ้าจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลพิพากษาลงโทษได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่บริสุทธิ์-รับผิดเช็ค: จำเลยต้องแสดงเหตุผลการอ้างว่าโจทก์ไม่สุจริต และข้อเท็จจริงในคดีอาญาใช้ฟังในคดีแพ่งได้
คำให้การของจำเลยที่ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์อย่างไรมิได้แสดงไว้ ถือว่าไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 และ 989 ผู้ทรงเช็คมีสิทธิว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังเรียงตัวหรือรวมกันก็ได้ โดยมิพักต้องดำเนินตามลำดับที่คนเหล่านั้นมาต้องผูกพัน
เมื่อจำเลยแถลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่าจะขอสืบพยานเพียง 2 ข้อ จำเลยจะขอสืบพยานในประเด็นข้ออื่นนอกจาก 2 ข้อนั้นมิได้
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย และปรากฏว่าเกี่ยวกับเช็ครายนี้จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษในข้อหาว่าจำเลยออกเช็คให้โจทก์คดีนี้โดยไม่มีเงินอยู่ในธนาคาร ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่พิพากษาว่าจำเลยยอมให้ผู้อื่นกรอกจำนวนเงินในเช็คและเมื่อผู้นั้นกรอกแล้ว จำเลยก็มิได้คัดค้านประการใด เพียงแต่ขอผัดเรื่อย ๆ นั้น ย่อมนำมารับฟังในคดีแพ่งว่าจำเลยต้องรับผิดตามเช็คนั้นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเกิดเหตุในคดีอาญา หากคำให้การชั้นสอบสวนสอดคล้องกับฟ้อง แม้ผู้เสียหายเบิกความไม่ตรงกัน
ในกรณีที่ผู้เสียหายเบิกความถึงวันที่ที่เกิดเหตุไม่ตรงกับในฟ้อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำวันเกิดเหตุไม่ได้แน่นอน แต่ตามคำของผู้เสียหายว่าได้แจ้งความในวันเกิดเหตุและพนักงานสอบสวนจดคำให้การในวันรุ่งขึ้น เมื่อปรากฏว่าในคำให้การชั้นสอบสวน ผู้เสียหายให้การวันที่ที่เกิดเหตุตรงกับในฟ้อง ทั้งพยานโจทก์อีกผู้หนึ่งที่เบิกความว่าเกิดเหตุวันที่เท่าใดจำไม่ได้นั้น ก็ให้การไว้ในคำให้การชั้นสอบสวนถึงวันที่ที่เกิดเหตุตรงกับในฟ้อง เช่นนี้ ถือว่าทางพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันเกิดเหตุไม่ต่างกับฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย เทียบกับความผิดฐานลักทรัพย์: สารสำคัญของฟ้องต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้
เจ้าทรัพย์เอาเงินเหน็บไว้ชายผ้าแล้วเดินไปธุระ จำเลยเดินมาตามถนนพบธนบัตรตกอยู่ก็เก็บเอาเสีย เจ้าทรัพย์พอรู้สึกว่าเงินที่เหน็บไว้หายไป ก็รีบไปดูตามทางเพราะไม่รู้ว่าตกที่ไหน ไปสอบถามจำเลยว่าเห็นเงินตกตามทางบ้างไหม จำเลยปฏิเสธ ดังนี้ เห็นว่า ตอนจำเลยเก็บเงินไปนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร และก็ไม่รู้ว่าเจ้าของกำลังติดตามอยู่ ฉะนั้น เมื่อจำเลยเก็บเงินตกกลางทางได้ และเอาเป็นประโยชน์ของตนเสียโดยเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายซึ่งจำเลยเก็บได้
ฟ้องว่าจำเลยลักเงินทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเก็บเงินตกกลางทางได้และเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายซึ่งจำเลยเก็บได้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องอันเป็นสารสำคัญของคดีลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมเมื่อไม่มีการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน
ศาลชั้นต้นฟังว่า "ฯลฯ ขณะจับก็ยังพบ(โจทก์)คาดเข็มขัดตำรวจและมีนาฬิกาข้อมือที่ตามวิทยุว่าถูกลักมาอยู่ด้วยดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกจับอยู่เองเป็นธรรมดา" ดังนี้ แม้นาฬิกาที่จับได้จากโจทก์เป็นยี่ห้อวิลน่า ส่วนตามวิทยุสั่งจับนั้นเป็นยี่ห้อฮอนซ่าก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่า จำเลยพบโจทก์มีนาฬิกาข้อมือตรงกับที่วิทยุว่านาฬิกาข้อมือเป็นของที่ถูกลัก อันเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นประกอบข้อพิรุธอื่น ๆ ของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นพลตำรวจสำเริงซึ่งต้องหาว่าลักนาฬิกาข้อมือเท่านั้น ศาลชั้นต้นมิได้ฟังเลยไปถึงว่านาฬิกาที่โจทก์ใส่อยู่นั้นเป็นของร้าย อันเป็นของกลางที่จับได้จากโจทก์อย่างใด หาเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70 จำเลยไม่ต้องรับโทษ(อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า " ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุจำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่า แท้จริงจำเลยกับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ " ดังนี้ เมื่อนางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อนไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง: เหตุอันควรเชื่อและขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
ศาลชั้นต้นฟังว่า "ฯลฯ ขณะจับก็ยังพบ (โจทก์) คาดเข็มขัดตำรวจและมีนาฬิกาข้อมือที่ตามวิทยุว่าถูกลักมาอยู่ด้วย ดังนี้ โจทก์ย่อมจะต้องถูกจับอยู่เองเป็นธรรมดา" ดังนี้ แม้นาฬิกาที่จับได้จากโจทก์เป็นยี่ห้อวิลน่าส่วนตามวิทยุสั่งจับนั้นเป็นยี่ห้อฮอนซ่าก็ตามก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่า จำเลยพบโจทก์มีนาฬิกาข้อมือตรงกับที่วิทยุว่านาฬิกาข้อมือเป็นของที่ถูกลัก อันเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นประกอบข้อพิรุธอื่นๆ ของโจทก์ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นพลตำรวจสำเริงซึ่งต้องหาว่าลักนาฬิกาข้อมือเท่านั้น ศาลชั้นต้นมิได้ฟังเลยไปถึงว่านาฬิกาที่โจทก์ใส่อยู่นั้นเป็นของร้าน อันเป็นของกลางที่จับได้จากโจทก์อย่างใดหาเป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งของร้อยตำรวจเอกสุรพลผู้ทำการแทนผู้กำกับที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีก็ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 จำเลยไม่ต้องรับโทษ(อ้างฎีกาที่ 1135/2508)
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า "ฯลฯ ในเรื่องสาเหตุจำเลยที่ 2 ก็สามารถนำนางสาวน้อยหรือแมวมาเบิกความแสดงความบริสุทธิ์ได้อีกว่า แท้จริงจำเลยกับนางสาวน้อยหรือแมวไม่ได้เคยรู้จักกันเลย ฯลฯ" ดังนี้ เมื่อนางสาวน้อยหรือแมวซึ่งจำเลยนำสืบเบิกความว่าไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน คดีจึงมีคำพยานสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นฟังว่านางสาวแมวไม่รู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528-1530/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลทั้งสองชั้นพิพากษาโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีเช็ค
สำนวนที่ 2 - 3 ศาลชั้นต้นต้องฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ แล้วจึงพิพากษาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย ยกฟ้อง ย่อมเป็นการยกฟ้องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงรวมมากับข้อกฎหมายว่าเป็นผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอีก จึงถือได้ว่าศาลทั้งสองยกฟ้องในข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนสำนวนที่ 1 แม้ศาลล่างยกฟ้องเพราะเหตุที่ฟ้องไม่ปรากฏชื่อผู้เรียงอีกเหตุหนึ่งด้วย ก็ต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 219 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528-1530/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้าม กรณีศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 219
สำนวนที่ 2-3 ศาลชั้นต้นต้องฟังข้อเท็จจริงเพื่อนำไปวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ แล้วจึงพิพากษาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย ยกฟ้องย่อมเป็นการยกฟ้องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงรวมมากับข้อกฎหมายว่าเป็นผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องอีกจึงถือได้ว่าศาลทั้งสองยกฟ้องในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนสำนวนที่ 1 แม้ศาลล่างยกฟ้องเพราะเหตุที่ฟ้องไม่ปรากฏชื่อผู้เรียงอีกเหตุหนึ่งด้วย ก็ต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 219 เช่นกัน
of 309