พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหะสถาน: การเข้าถึงตัวทรัพย์สินด้วยมือและเครื่องมือ
จำเลยยื่นมือเข้าไปทางประตู เอาไม้เล็กประมาณ 1 แขนสอยเอากางเกงของเจ้าทรัพย์ ที่ตากไว้ข้างฝาในห้องไป ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 288 หาใช่ตามมาตรา 294 ข้อ 1 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีทรัพย์สิน: ผู้กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์มีหน้าที่พิสูจน์ก่อน
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยยืมเสาไป จำเลยปฏิเสธว่ามิได้ยืมแม้จะอ้างว่าซื้อไป ก็เป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ตนเป็นผู้ครอบครองอยู่จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกและการขาดอายุความฟ้องร้องแบ่งมรดก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมฤดก ต. ซึ่งปรากฎในคำฟ้องว่า ตายมาประมาณ 5 ปีแล้ว โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์,จำเลยได้ครอบครองร่วมกันมา เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าทายาทได้มอบให้จำเลยครอบครองทรัพย์มฤดกมาแต่ผู้เดียว โจทก์ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งมีการช่วยทำนาบ้าง แต่ไปทำเพราะช่วยจำเลย โดยจำเลยมีคนน้อย ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์มฤดกร่วมมากับจำเลย คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความ
ข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยครอบครองมฤดกไว้แทนโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ต้องถือว่าความข้อนี้นอกประเด็น.
ข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยครอบครองมฤดกไว้แทนโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ต้องถือว่าความข้อนี้นอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกและการขาดอายุความ การครอบครองร่วมต้องปรากฏชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดก ต.ซึ่งปรากฏในคำฟ้องว่าตายมาประมาณ5 ปีแล้ว โดยโจทก์อ้างว่า โจทก์จำเลยได้ครอบครองร่วมกันมา เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าทายาทได้มอบให้จำเลยครอบครองทรัพย์มรดกมาแต่ผู้เดียวโจทก์ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งมีการช่วยทำนาบ้าง แต่ไปทำเพราะช่วยจำเลย โดยจำเลยมีคนน้อย ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมมากับจำเลย คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความ
ข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยครอบครองมรดกไว้แทนโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ต้องถือว่าความข้อนี้นอกประเด็น
ข้อที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยครอบครองมรดกไว้แทนโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ต้องถือว่าความข้อนี้นอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุก: การขัดขวางการครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจสมคบกันมีหลาวและมีดตอกเป็นอาวุธ บุกรุกเข้าไปในเขตที่นาของนายวิงโดยมีเจตนาจะมิให้นายวิงครอบครองที่นาได้โดยปกติสุขโดยจำเลยมิได้มีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายดังนี้ ฟ้องของโจทก์ย่อมครบองค์ความผิดฐานบุกรุกแล้วเพราะความผิดฐานบุกรุกเจตนาอันเป็นมูลฐานอยู่ที่เจตนาจะมิให้ผู้อื่นครอบครองทรัพย์ของเขา อันพึงเคลื่อนจากที่มิได้โดยความปกติสุข มิได้อยู่ที่เข้าถือเอาทรัพย์ หรือเพื่อจะถือเอาทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs. ยักยอกทรัพย์: เจ้าพนักงานมีหน้าที่เฝ้ารักษาทรัพย์หรือไม่
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าดูแลโกดังของ ส.ร.ส. ได้สมคบกับคนร้ายปล้นทรัพย์ของ ส.ร.ส. ไป ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่ไม่มีผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ เพราะจำเลยไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปกครองรักษาทรัพย์นั้น เป็นแต่ถูกจัดให้มาเป็นยามเฝ้าโกดังเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs. ทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงาน กรณีหน้าที่เป็นยามเฝ้าทรัพย์
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าดูแลโกดังของ ส.ร.ส.ได้สมคบกับคนร้ายปล้นทรัพย์ของส.ร.ส.ไป ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่ไม่มีผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ เพราะจำเลยไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปกครองรักษาทรัพย์นั้น เป็นแต่ถูกจัดให้มาเป็นยามเฝ้าโกดังเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเอาทรัพย์สินเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ เงื่อนไขการขาดกันเป็นโมฆะหากไม่มีเจตนาชัดเจน
ทำสัญญากู้เงินแล้วมอบที่ดินให้ยึดถือไว้เป็นประกันในสัญญามีข้อความว่า ถ้า 2 เดือนไม่นำเงินมาให้เป็นอันว่า ที่ดินที่กล่าวข้างบนนี้ขาดกัน เงื่อนไขตอนหลังนี้เป็นลักษณะแห่งการเอาทรัพย์สินเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืม ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 ข้อสัญญาย่อมเป็นโมฆะตาม มาตรา 656 วรรคสาม ส่วนที่จะให้แปลสัญญาว่า เมื่อไม่ชำระหนี้ผู้กู้จะโอนที่ดินให้เป็นการชำระหนี้แทนตัวเงินกู้นั้น โจทก์ต้องนำสืบให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่ามีดังนั้น (อ้างฎีกาที่ 1237/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินระหว่างพี่น้อง: การฟ้องแบ่งทรัพย์ต้องมีฐานะเป็นหุ้นส่วน
โจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์โดยอ้างว่าลงทุนเป็นหุ้นส่วน เมื่อฟังไม่ได้ว่าลงทุนเป็นหุ้นส่วน คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงการแบ่งทรัพย์ต่อไป
คดีเกิดขึ้นเนื่องจากการแตกร้าวระหว่างพี่น้อง ซึ่งต่างไม่ยอมปรองดองกัน ศาลจึงสั่งให้รวมค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ฝ่ายทั้ง 3 ศาลแล้วแบ่งกันเสียฝ่ายละครึ่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดีในที่สุด.
คดีเกิดขึ้นเนื่องจากการแตกร้าวระหว่างพี่น้อง ซึ่งต่างไม่ยอมปรองดองกัน ศาลจึงสั่งให้รวมค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ฝ่ายทั้ง 3 ศาลแล้วแบ่งกันเสียฝ่ายละครึ่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดีในที่สุด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินระหว่างพี่น้อง: การฟ้องแบ่งทรัพย์ต้องอาศัยฐานะหุ้นส่วน
โจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์โดยอ้างว่าลงทุนเป็นหุ้นส่วนเมื่อฟังไม่ได้ว่าลงทุนเป็นหุ้นส่วน คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงการแบ่งทรัพย์ต่อไป
คดีเกิดขึ้นเนื่องจากการแตกร้าวระหว่างพี่น้อง ซึ่งต่างไม่ยอมปรองดองกันศาลจึงสั่งให้รวมค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ฝ่ายทั้ง 3 ศาลแล้วแบ่งกันเสียฝ่ายละครึ่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดีในที่สุด
คดีเกิดขึ้นเนื่องจากการแตกร้าวระหว่างพี่น้อง ซึ่งต่างไม่ยอมปรองดองกันศาลจึงสั่งให้รวมค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ฝ่ายทั้ง 3 ศาลแล้วแบ่งกันเสียฝ่ายละครึ่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดีในที่สุด