พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,604 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คล่วงหน้ามิใช่การผ่อนเวลาชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์โดยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยทำสัญญากู้ยืมให้โจทก์ไว้ และมีจำเลยมี 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ทั้งได้มอบเช็คของจำเลยที่ 1 ลงวันล่วงหน้าให้โจทก์ยึดถือไว้ด้วย แต่ในสัญญากู้ยืมมิได้กำหนด เวลาชำระหนี้กันไว้ ดังนี้ เช็คที่จำเลยที่ 1 ออกให้โจทก์ยึดถือไว้นั้น หาได้เป็นการตกลงให้เป็นการกำหนดวันหรือระยะเวลาชำระหนี้ให้เป็นการแน่นอนขึ้นแต่อย่างไรไม่ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะได้ออกเช็คใหม่ลงวันล่วงหน้าต่อไปอีกให้โจทก์ยึดถือไว้แทนเช็คฉบับเก่า ก็ไม่เป็นการที่เจ้าหน้าที่ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้อันผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้แก่ทนายความผู้รับมอบอำนาจ: การผูกพันของตัวการต่อบุคคลภายนอก
ทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจในการบังคับคดีตามใบมอบอำนาจที่กระทำตามแบบพิมพ์ของกองหมายนั้น ย่อมไม่มีอำนาจรับเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา แต่ถ้าปรากฏว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้เคยชำระหนี้ บางงวดแก่ทนายความผู้รับมอบอำนาจเล่นนั้น และผู้มอบอำนาจได้เคยแสดงออกว่า รับรู้ถึงการรับเงินนั้น ดังนี้ ย่อมมีเหตุอันควรที่จะทำให้ลูกหนี้ดังกล่าวเชื่อว่าทนายความผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจรับเงินชำระหนี้แทนผู้มอบอำนาจได้ ฉะนั้น ลูกหนี้ผู้ชำระหนี้แก่ทนายความผู้รับมอบอำนาจโดยสุจริตและโดยมีเหตุอันควรเชื่อเช่นนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822
(เรื่องใบมอบอำนาจตามแบบพิมพ์นี้ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2505)
(เรื่องใบมอบอำนาจตามแบบพิมพ์นี้ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินเพื่อชำระหนี้เดิม: การส่งมอบเงินบริบูรณ์ตามกฎหมาย
โจทก์จำเลยคิดบัญชีหนี้เดิมกัน แล้วจำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้แทนการจ่ายเงินที่เป็นหนี้กันเช่นนี้ ถือได้ว่า มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมกันเป็นการบริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันที่ครอบคลุมหนี้ตามสัญญาจำนอง แม้สัญญาจำนองจะไม่ได้ระบุภาระการชำระหนี้เพิ่มเติม
ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันการจำนองว่า ถ้าผู้จำนองผิดสัญญาไม่ชำระเงินต้นตามสัญญาผู้ค้ำประกันยอมให้ผู้รับจำนองฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญาจำนองของผู้จำนอง โดยผู้ค้ำประกันยอมใช้เงินตามสัญญาจำนองและค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ แม้ตามสัญญาจำนองจะไม่มีกล่าวไว้ว่า ถ้าบังคับจำนองแล้วยังขาดเงินอยู่เท่าใด ผู้จำนองต้องใช้อีกจนครบก็ดี ในเมื่อมีการบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ของผู้รับจำนอง ผู้ค้ำประกันย่อมต้องรับผิดต่อผู้รับจำนองในจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาค้ำประกันนั่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินพร้อมมอบทรัพย์เป็นประกัน เมื่อเสนอชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ต้องคืนทรัพย์ประกันให้ทันที
จำเลยกู้เงินโจทก์ มอบปืนให้ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ เมื่อจำเลยเสนอขอชำระหนี้เงินกู้ โจทก์ก็ต้องคืนปืนที่เป็นประกันให้ จะให้จำเลยชำระหนี้เสียก่อน ส่วนปืนจะคืนภายหลังหาได้ไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ไม่ยอมคืนปืน ก็ถือว่าจำเลยไม่ผิดนัด ยังไม่ต้องชำระหนี้เงินกู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้และการคืนหลักประกัน: สิทธิของลูกหนี้ในการได้รับคืนหลักประกันเมื่อเสนอชำระหนี้
จำเลยกู้เงินโจทก์ มอบปืนให้ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ เมื่อจำเลยเสนอขอชำระหนี้เงินกู้ โจทก์ก็ต้องคืนปืนที่เป็นประกันให้ จะให้จำเลยชำระหนี้เสียก่อน ส่วนปืนจะคืนภายหลังหาได้ไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ไม่ยอมคืนปืนก็ถือว่าจำเลยไม่ผิดนัด ยังไม่ต้องชำระหนี้เงินกู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 118/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ไม่สามารถเทียบเคียงกับคดีแพ่งทั่วไปได้
พระราชบัญญัติล้มละลาย ได้บัญญัติกระบวนพิจารณาเรื่องการขอรับชำระหนี้ไว้โดยเฉพาะเพื่อให้เจ้าหน้าได้รับความสดวก รวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายน้อยมีลักษณะไม่เหมือนกับการฟ้องคดี ฉะนั้น จึงนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการทิ้งฟ้องเช่นคดีแพ่ง สามัญมาใช้ไม่ได้
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายนัดให้เจ้าหน้าที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้นำพยานหลักฐานไปให้สวบสวนนั้น เมื่อเจ้าหนี้ไม่ไปตามนัด จะถือว่าขาดนัดพิจารณาโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งย่อมไม่ได้
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมายนัดให้เจ้าหน้าที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้นำพยานหลักฐานไปให้สวบสวนนั้น เมื่อเจ้าหนี้ไม่ไปตามนัด จะถือว่าขาดนัดพิจารณาโดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาโอนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้เป็นสำคัญ แม้ขยายกิจการก็อาจเข้าข้อยกเว้น
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 นั้น การโอนทรัพย์ต้องประกอบด้วยเจตนา เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นประการสำคัญด้วย
การที่ลูกหนี้เลิกห้างเดิมและขยายกิจการตั้งบริษัทขึ้นใหม่มีทุนมากขึ้นนั้น ยังถือไม่ได้ว่าลูกหนี้มีเจตนาย้ายหรือโอนทรัพย์เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
การที่ลูกหนี้เลิกห้างเดิมและขยายกิจการตั้งบริษัทขึ้นใหม่มีทุนมากขึ้นนั้น ยังถือไม่ได้ว่าลูกหนี้มีเจตนาย้ายหรือโอนทรัพย์เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130-1131/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อฉลของเจ้าหนี้ การเพิกถอนชำระหนี้ และสิทธิในการยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้
(1) คดีสองสำนวน แม้ศาลจะพิจารณาพิพากษารวมกัน แต่ปรากฎว่า สำนวนหนึ่งมีทุนทรัพย์ 5,000 บาท อีกสำนวนหนึ่งทุนทรัพย์ 15,000 บาท แม้ในชั้นฎีกาได้ฎีการวมกันมา ศาลฎีกาพิจารณาเฉพาะคดีที่มีทุนทรัพย์ เกิน 5,000 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 เท่านั้น
(2) ในกรณีที่จำเลยมีเจ้าหนี้คำพิพากษาสองราย แต่ทรัพย์ของจำเลยมีเพียงอย่างเดียว เช่น เรือน 1 หลัง ซึ่งไม่สามารถใช้หนี้ทั้งสองรายได้นั้น การที่จำเลยเลือกใช้หนี้เพียงรายใดรายหนึ่ง อันเป็นผลทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบ เพราะไม่มีทรัพย์เหลือพอจะชำระหนี้ได้ และเจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ไปแล้วก็เป็นผู้นำยึดทรัพย์นั้นเอง ทั้งรู้อยู่ด้วยว่า เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งมีสิทธิขอเฉลี่ยจากทรัพย์ที่ยึด แต่กลับไปถอนการยึดเสียแล้ว ตกลงรับชำระหนี้กันโดยลำพัง ซึ่งทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเฉลี่ยไม่ได้ เช่นนี้ เป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้ผู้ที่เสียเปรียบนี้ มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้นั้นได้
(3) เมื่อเพิกถอนแล้ว ทรัพย์นั้นก็กลับสู่สภาพเดิม คือ กลับเป็นของจำเลย เจ้าหนี้มีสิทธิยึดชำระหนี้ได้
(4) การที่เจ้าหนี้คนหนึ่งเอาสัมภาระที่ลูกหนี้ตีชำระหนี้ไปปลูกเป็นเรือนขึ้นในที่ดินของตนนั้น สัมภาระได้กลายเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1315 เจ้าหนี้คนนั้นย่อมเป็นเจ้าของสัมภาระนี้ด้วยอำนาจของกฎหมาย เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งที่เสียเปรียบดังกล่าว ย่อมขอให้เพิกถอนได้เฉพาะแต่นิติกรรมดังกล่าว แต่เจ้าหนี้ผู้ที่ได้สัมภาระไปต้องใช้ค่าสัมภาระให้แก่ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ที่เสียเปรียบชอบที่จะใช้สิทธิของลูกหนี้ เรียกเอาค่าสัมภาระนี้เพื่อชำระหนี้ เป็นคดีใหม่แต่ไม่อาจยึดเรือนหลังนี้เพื่อขายทอดตลาด
(5) เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ใครสืบก่อนหลังก็ไม่สำคัญ
(ข้อ (2) (4) ประชุมใหญ่ครั้งที่ 34/2505)
(2) ในกรณีที่จำเลยมีเจ้าหนี้คำพิพากษาสองราย แต่ทรัพย์ของจำเลยมีเพียงอย่างเดียว เช่น เรือน 1 หลัง ซึ่งไม่สามารถใช้หนี้ทั้งสองรายได้นั้น การที่จำเลยเลือกใช้หนี้เพียงรายใดรายหนึ่ง อันเป็นผลทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบ เพราะไม่มีทรัพย์เหลือพอจะชำระหนี้ได้ และเจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ไปแล้วก็เป็นผู้นำยึดทรัพย์นั้นเอง ทั้งรู้อยู่ด้วยว่า เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งมีสิทธิขอเฉลี่ยจากทรัพย์ที่ยึด แต่กลับไปถอนการยึดเสียแล้ว ตกลงรับชำระหนี้กันโดยลำพัง ซึ่งทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเฉลี่ยไม่ได้ เช่นนี้ เป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้ผู้ที่เสียเปรียบนี้ มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้นั้นได้
(3) เมื่อเพิกถอนแล้ว ทรัพย์นั้นก็กลับสู่สภาพเดิม คือ กลับเป็นของจำเลย เจ้าหนี้มีสิทธิยึดชำระหนี้ได้
(4) การที่เจ้าหนี้คนหนึ่งเอาสัมภาระที่ลูกหนี้ตีชำระหนี้ไปปลูกเป็นเรือนขึ้นในที่ดินของตนนั้น สัมภาระได้กลายเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1315 เจ้าหนี้คนนั้นย่อมเป็นเจ้าของสัมภาระนี้ด้วยอำนาจของกฎหมาย เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งที่เสียเปรียบดังกล่าว ย่อมขอให้เพิกถอนได้เฉพาะแต่นิติกรรมดังกล่าว แต่เจ้าหนี้ผู้ที่ได้สัมภาระไปต้องใช้ค่าสัมภาระให้แก่ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ที่เสียเปรียบชอบที่จะใช้สิทธิของลูกหนี้ เรียกเอาค่าสัมภาระนี้เพื่อชำระหนี้ เป็นคดีใหม่แต่ไม่อาจยึดเรือนหลังนี้เพื่อขายทอดตลาด
(5) เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ใครสืบก่อนหลังก็ไม่สำคัญ
(ข้อ (2) (4) ประชุมใหญ่ครั้งที่ 34/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130-1131/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยเจตนาฉ้อฉลและการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเป็นส่วนควบของที่ดิน
ในกรณีที่จำเลยมีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสองราย แต่ทรัพย์ของจำเลยมีเพียงอย่างเดียว มีราคาไม่พอใช้หนี้ทั้งสองราย การที่จำเลยเลือกใช้หนี้เพียงรายใดรายหนึ่ง อันเป็นผลทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบและเจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้ก็ทราบดีอยู่แล้ว เช่นนี้ ย่อมเป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้ผู้เสียเปรียบขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ได้
แต่เมื่อปรากฏว่า หนี้ที่ลูกหนี้ชำระแก่เจ้าหนี้ไปก่อนนั้นเป็นไม้ที่รื้อมาจากโรงเรือนของลูกหนี้ และเจ้าหนี้นั้นได้เอาไม้ไปปลูกเป็นโรงเรือนในที่ดินของเจ้าหนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ ก็เท่ากับว่าเจ้าหนี้เอาสัมภาระของผู้อื่นไปปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดิน ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตาม มาตรา 1315 ไปแล้ว เจ้าหนี้ที่เสียเปรียบจะตามไปยึดเรือนดังกล่าวขายทอดตลาดไม่ได้ ได้แต่จะใช้สิทธิของลูกหนี้เรียกเอาค่าสัมภาระมาเพื่อชำระหนี้
แต่เมื่อปรากฏว่า หนี้ที่ลูกหนี้ชำระแก่เจ้าหนี้ไปก่อนนั้นเป็นไม้ที่รื้อมาจากโรงเรือนของลูกหนี้ และเจ้าหนี้นั้นได้เอาไม้ไปปลูกเป็นโรงเรือนในที่ดินของเจ้าหนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ ก็เท่ากับว่าเจ้าหนี้เอาสัมภาระของผู้อื่นไปปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดิน ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตาม มาตรา 1315 ไปแล้ว เจ้าหนี้ที่เสียเปรียบจะตามไปยึดเรือนดังกล่าวขายทอดตลาดไม่ได้ ได้แต่จะใช้สิทธิของลูกหนี้เรียกเอาค่าสัมภาระมาเพื่อชำระหนี้