พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กรณีไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มุ่งเน้นการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาแต่ประการใด ฉะนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงใหม่ โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์เลยนั้นจึงมิชอบและแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในเรื่องนี้มาก็ตาม แต่เมื่อเป็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างได้โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยิงเพื่อป้องกันตัวเป็นเหตุสมควร
จำเลยเป็นน้องเขยผู้ตาย คืนก่อนเกิดเหตุผู้ตายและจำเลยต่างไปงานแต่งงานรายเดียวกันจำเลยช่วยเป็นผู้ลงบัญชีผู้ออกเงินช่วยงานและได้เกิดเป็นปากเสียงกับผู้ตายโดยผู้ตายหาว่าได้ออกเงินช่วยในงานแล้วจำเลยไม่ลงชื่อในบัญชีให้คืนนั้นผู้ตายอยู่บ้านงานตลอดคืน ดื่มสุราเมา รุ่งเช้าเดินกลับบ้าน มาสวนทางกับจำเลยซึ่งเดินอยู่คนละฝั่งคันคู เนื่องจากผู้ตายมีนิสัยเมาแล้วมักอาละวาดเมื่อพบจำเลยซึ่งผู้ตายข้องใจเรื่องไม่ลงชื่อในบัญชีคนช่วยงานให้จึงต่อว่าและชักมีดโดดข้ามคูไปแทงทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัดเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1348/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยการลงข้อความในหนังสือพิมพ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวทำให้เสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์รายวันว่า "ชาวบ้านที่ติดต่อแผนกที่ดิน จ.นครสวรรค์ ร้องกันอู้ จู่ ๆ ถูกสาวก้นแฉะ ทรงศรี ใช้วจีไม่ค่อยรื่นหู เจตน์ สุวรรณ ที่ดินจังหวัดคนตงฉินได้ยินแล้วอบรมซะบ้าง" เป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้นางสาวทรงศรีโจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ว่าเป็นคนประพฤติไม่ดี ชอบร่วมประเวณีกับชายทั่ว ๆ ไปเป็นประจำไม่เลือกหน้า และได้จำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ดังกล่าวไปทั่วทุกจังหวัด ดังนี้เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายและอธิบายความหมายของข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้น ได้แพร่หลายไปยังบุคคลที่สามอีก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ถือได้ว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้นเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จึงไม่จำต้องแปลข้อความให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือที่จำเลยรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่เคลือบคลุม ขาดรายละเอียดข้อหาและพยานหลักฐาน ศาลฎีกายกคำร้อง
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสมาผู้แทนราษฎรบรรยายว่า ในการตรวจนับคะแนน ถ้าบัตรนั้นเป็นคะแนนของผู้ร้อง กรรมการก็จงใจตัดสินให้เป็นบัตรเสีย แต่ถ้าบัตรนั้นเป็นคะแนนของผู้ได้รับเลือกตั้ง ถึงแม้จะเป็นบัตรเสีย กรรมการจงใจนับให้เป็นบัตรดี ซึ่งบัตรเสียบัตรดีเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 บัตร มิได้กล่าวว่าบัตรเสียนั้นมีลักษณะอย่างไร เสียอย่างไร กรรมการนับบัตรเสียเป็นบัตรดีจำนวนเท่าไร นับบัตรดีเป็นบัตรเสียจำนวนเท่าไร และที่ว่าเพิ่มคะแนนเลือกตั้ง ใช้สิทธิลงคะแนนแทนผู้อื่น จงใจนับคะแนนให้ผิดพลาดจากความเป็นจริง ก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนน และเสมียนคะแนน ผู้ควบคุมหน่วยเลือกตั้งหน่วยใดเพิ่มคะแนนเลือกตั้งให้ผู้สมัครคนใด จำนวนใด ใช้สิทธิลงคะแนนแทนผู้อื่นนั้นเป็นใครบ้างและที่ว่าจงใจนับคะแนนให้ผิดจากความจริง ผิดไปเป็นจำนวนเท่าใด จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งให้เงินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ละคะแนนให้แก่ตนเอง มิได้กล่าวว่าให้เงินแก่ผู้ใด ในหน่วยเลือกตั้งใดบ้าง และที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งจัดพาหนะ คือรถยนต์ให้แก่ผู้เลือกตั้งโดยไม่เสียค่าพาหนะนั้น ไม่ทราบว่ายานพาหนะจำนวนมากน้อยเพียงใด ผู้เลือกตั้งที่รับไปลงคะแนนมีจำนวนมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงของการเลือกตั้งหรือไม่ จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยาว่าผู้ได้รับเลือกตั้งได้ให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาเจ้าของรถยนต์โดยสารร่วมของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 15 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดอ่างทองกับกรุงเทพมหานครว่า จะติดต่อวิ่งเต้นกับทางราชการไม่ให้รถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 99 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกรุงเทพมหานครวิ่งรับคนโดยสารที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกต่อไป เพราะจะทำให้รถยนต์โดยสารสาย 15 ขาดผลประโยชน์ เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถยนต์โดยสารเหล่านั้นลงคะแนนเลือกตั้งให้นั้นตามคำร้องมิได้กล่าวจูงใจใครบ้างที่ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์โดยสาร จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง ที่มีหน่วยเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้ง ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ทราบว่าจะให้เงินแก่วัดใด จำนวนเท่าใด และเพียงแต่รับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้น ไม่ทราบว่าวัดไหน หรือคณะกรรมการวัดไหนตกลงจะช่วยเหลือบ้าง หรือมีการช่วยเหลือกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งให้เงินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ละคะแนนให้แก่ตนเอง มิได้กล่าวว่าให้เงินแก่ผู้ใด ในหน่วยเลือกตั้งใดบ้าง และที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งจัดพาหนะ คือรถยนต์ให้แก่ผู้เลือกตั้งโดยไม่เสียค่าพาหนะนั้น ไม่ทราบว่ายานพาหนะจำนวนมากน้อยเพียงใด ผู้เลือกตั้งที่รับไปลงคะแนนมีจำนวนมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงของการเลือกตั้งหรือไม่ จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยาว่าผู้ได้รับเลือกตั้งได้ให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาเจ้าของรถยนต์โดยสารร่วมของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 15 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดอ่างทองกับกรุงเทพมหานครว่า จะติดต่อวิ่งเต้นกับทางราชการไม่ให้รถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 99 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกรุงเทพมหานครวิ่งรับคนโดยสารที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกต่อไป เพราะจะทำให้รถยนต์โดยสารสาย 15 ขาดผลประโยชน์ เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถยนต์โดยสารเหล่านั้นลงคะแนนเลือกตั้งให้นั้นตามคำร้องมิได้กล่าวจูงใจใครบ้างที่ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์โดยสาร จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง ที่มีหน่วยเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้ง ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ทราบว่าจะให้เงินแก่วัดใด จำนวนเท่าใด และเพียงแต่รับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้น ไม่ทราบว่าวัดไหน หรือคณะกรรมการวัดไหนตกลงจะช่วยเหลือบ้าง หรือมีการช่วยเหลือกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่ขาดรายละเอียดชัดเจน ศาลฎีกายกคำร้องเนื่องจากเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบรรยายว่า ในการตรวจนับคะแนน ถ้าบัตรนั้นเป็นคะแนนของผู้ร้องกรรมการก็จงใจตัดสินให้เป็นบัตรเสีย แต่ถ้าบัตรนั้นเป็นคะแนนของผู้ได้รับเลือกตั้ง ถึงแม้จะเป็นบัตรเสีย กรรมการก็จงใจนับให้เป็นบัตรดี ซึ่งบัตรเสียบัตรดีเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 บัตร มิได้กล่าวว่าบัตรเสียนั้นมีลักษณะอย่างไร เสียอย่างไร กรรมการนับบัตรเสียเป็นบัตรดีจำนวนเท่าไร นับบัตรดีเป็นบัตรเสียจำนวนเท่าไรและที่ว่าเพิ่มคะแนนเลือกตั้ง ใช้สิทธิลงคะแนนแทนผู้อื่นจงใจนับคะแนนให้ผิดพลาดจากความเป็นจริง ก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้งว่าเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนและเสมียนคะแนน ผู้ควบคุมหน่วยเลือกตั้งหน่วยใดเพิ่มคะแนนเลือกตั้งให้ผู้สมัครคนใดจำนวนเท่าใดใช้สิทธิลงคะแนนแทนผู้อื่นนั้นเป็นใครบ้าง และที่ว่าจงใจนับคะแนนให้ผิดจากความจริง ผิดไปเป็นจำนวนเท่าใด จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งให้เงินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง มิได้กล่าวว่าให้เงินแก่ผู้ใด ในหน่วยเลือกตั้งใดบ้างและที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งจัดยานพาหนะ คือรถยนต์ให้แก่ผู้เลือกตั้งโดยไม่เสียค่าพาหนะนั้น ไม่ทราบว่ายานพาหนะจำนวนมากน้อยเพียงใด ผู้เลือกตั้งที่รับไปลงคะแนนมีจำนวนมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลของการเลือกตั้งหรือไม่จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งได้ให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาเจ้าของรถยนต์โดยสารร่วมของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 15 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดอ่างทองกับกรุงเทพมหานครว่า จะติดต่อวิ่งเต้นกับทางราชการไม่ให้รถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 99 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกรุงเทพมหานครวิ่งรับคนโดยสารที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกต่อไป เพราะจะทำให้รถยนต์โดยสารสาย 15 ขาด ผลประโยชน์ เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถยนต์โดยสารเหล่านั้นลงคะแนนเลือกตั้งให้นั้นตามคำร้องมิได้กล่าวว่าจูงใจใครบ้างที่ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารจึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งติดต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอป่าโมกอำเภอโพธิ์ทอง ที่มีหน่วยเลือกตั้งตั้งอยู่หลายสิบวัดรับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้นเพื่อขอให้เจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดนั้น ๆ จูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้ง ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ทราบว่าจะให้เงินแก่วัดใด จำนวนเท่าใด และเพียงแต่รับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้น ไม่ทราบว่าวัดไหนหรือคณะกรรมการวัดไหนตกลงจะช่วยเหลือบ้างหรือมีการช่วยเหลือกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งให้เงินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง มิได้กล่าวว่าให้เงินแก่ผู้ใด ในหน่วยเลือกตั้งใดบ้างและที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งจัดยานพาหนะ คือรถยนต์ให้แก่ผู้เลือกตั้งโดยไม่เสียค่าพาหนะนั้น ไม่ทราบว่ายานพาหนะจำนวนมากน้อยเพียงใด ผู้เลือกตั้งที่รับไปลงคะแนนมีจำนวนมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลของการเลือกตั้งหรือไม่จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งได้ให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาเจ้าของรถยนต์โดยสารร่วมของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 15 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดอ่างทองกับกรุงเทพมหานครว่า จะติดต่อวิ่งเต้นกับทางราชการไม่ให้รถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่งจำกัด สาย 99 ซึ่งวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกรุงเทพมหานครวิ่งรับคนโดยสารที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกต่อไป เพราะจะทำให้รถยนต์โดยสารสาย 15 ขาด ผลประโยชน์ เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถยนต์โดยสารเหล่านั้นลงคะแนนเลือกตั้งให้นั้นตามคำร้องมิได้กล่าวว่าจูงใจใครบ้างที่ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารจึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องบรรยายว่าผู้ได้รับเลือกตั้งติดต่อเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอป่าโมกอำเภอโพธิ์ทอง ที่มีหน่วยเลือกตั้งตั้งอยู่หลายสิบวัดรับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้นเพื่อขอให้เจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดนั้น ๆ จูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้ง ตามคำร้องของผู้ร้องไม่ทราบว่าจะให้เงินแก่วัดใด จำนวนเท่าใด และเพียงแต่รับว่าจะให้เงินแก่วัดเหล่านั้น ไม่ทราบว่าวัดไหนหรือคณะกรรมการวัดไหนตกลงจะช่วยเหลือบ้างหรือมีการช่วยเหลือกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริงและการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ครบถ้วน ศาลฎีกายกเลิกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันตัดฟันต้นไม้ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ จำเลยทั้งแปดให้การต่อสู้ว่าต้นไม้ตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 8 จำเลยที่ 8 เป็นผู้ว่าจ้างวานจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ตัดฟัน ศาลชั้นต้นฟังว่าต้นไม้นั้นเป็นของผู้เสียหาย พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 8 แต่เห็นว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 สำคัญผิดในข้อเท็จจริง จึงให้ปล่อยตัวพ้นข้อหาไป โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้สำคัญผิดในข้อเท็จจริง จำเลยที่ 8 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาแต่เฉพาะจำเลยที่ 8 เห็นว่า คดีฟังไม่ได้ว่าต้นไม้ที่จำเลยตัดฟันเป็นของผู้เสียหาย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 8 ด้วย โดยไม่พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาโดยไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและการข่มขืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ
จำเลยใช้กำลังฉุดลากพาผู้เสียหายเข้าไปในป่าห่างทางประมาณ 10 วาเศษ แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารกระทงหนึ่งแล้ว และเป็นความผิดฐานข่มชืนกระทำชำเราอีกกระทงหนึ่ง มิใช่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแต่เพียงกระทงเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นด้วยการโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ ศาลฎีกาพิพากษากลับโดยใช้บทมาตรา 393 แทน 326, 328
ฟ้องว่า จำเลยลงข่าวในหนังสือพิมพ์ช่องสังคมอยุธยา โดยทิดแก้ว ว่า"วันก่อนเดินผ่านตลาดหักรอได้ยินเสียงเจ๊แต๋วมาดามของคุณประเสริฐมานะประเสริฐศักดิ์บก.แหลมทองตะโกนลั่นกลางตลาดว่า ถ้าคนที่ชื่อสุชาติบุญเกษมเดินผ่านหน้าร้านเมื่อไรจะถอดรองเท้าตบหน้าสักทีเสียเท่าไรก็ยอม จริงหรือเปล่าจ๊ะเจ๊"ทิดแก้ว" กลัวจะไม่จริงดังปากว่าเท่านั้นแหละแฮะ ๆ" ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328ข้อความดังนี้เป็นข้อความดูหมิ่น เพราะทำให้ผู้เสียหายบังเกิดความอับอายเป็นการดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393เป้นการอ้างบทมาตราที่ผิด ศาลลงโทษจำเลยตามมาตรา 393 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาพิจารณาเจตนาและแก้ไขโทษจำเลย
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 และผู้ตายอีกฝ่ายหนึ่งชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยที่ 2 กับผู้ตายชกจำเลยที่ 1 ก่อน แล้วจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์ไล่แทงจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายถูกที่ฝ่ามือ จำเลยที่ 1จึงคว้าไม้เหลี่ยมกว้าง 3 นิ้วฟุต ยาวประมาณ 1 แขนตีผู้ตาย ดังนี้ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายไปในขณะที่ชุลมุนต่อสู้กัน โดยคว้าไม้ซึ่งวางอยู่ตรงนั้นเองตีผู้ตายไปโดยไม่ได้เลือกตี และตีเพียงทีเดียว พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294,295 โทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มิได้ระบุให้ชัดลงไปว่าให้ลงโทษตามบทมาตราใด และที่พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามของ 6 เดือน เป็น 9 เดือน เป็นการผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาพิพากษาแก้(แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ฎีกา)
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294,295 โทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มิได้ระบุให้ชัดลงไปว่าให้ลงโทษตามบทมาตราใด และที่พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามของ 6 เดือน เป็น 9 เดือน เป็นการผิดพลาด เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาพิพากษาแก้(แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ฎีกา)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยอายุความของเช็ค แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้กะประเด็นไว้โดยชัดแจ้ง แต่หากศาลได้วินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวน
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กะประเด็นเรื่องอายุความไว้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้แล้วว่า คดีไม่ขาดอายุความ จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะต้องให้ศาลชั้นต้นกะประเด็นแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่