คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กรรมการบริษัท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 132 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7233-7234/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของโจทก์ร่วม: กรณีบริษัทเป็นผู้รับประโยชน์จากเช็ค แต่โจทก์ร่วมลงนามในฐานะกรรมการบริษัท
ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้ผู้เสียหายซึ่งคือโจทก์ร่วม เพื่อชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่โจทก์ร่วมเองกลับยืนยันรับข้อเท็จจริงในฎีกาของโจทก์ร่วมว่าโจทก์ร่วมลงนามในฐานะผู้ให้กู้แทนบริษัทลัวเซียร์-ไทย จำกัด จึงต้องถือว่าบริษัทลัวเซียร์ - ไทย จำกัด เป็นผู้ทรงและ มีสิทธิได้รับเงินตามเช็คพิพาทที่จำเลยออกเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ แม้ตามข้อเท็จจริงโจทก์ร่วมเพียงผู้เดียวเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทลัวเซียร์-ไทย จำกัด ได้ ก็ไม่อาจแปลเจตนาว่ากระทำแทนผู้เสียหายในกรณีเช่นนี้ได้ โจทก์ร่วมในฐานะส่วนตัวจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมและไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6433/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ถือหุ้น/กรรมการบริษัท เป็นผู้เสียหายในคดีปลอมแปลงเอกสารได้ หากบริษัทฯ และตนเองได้รับความเสียหาย
ศาลชั้นต้นเพียงแต่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า หากข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายก็คือบริษัท ก. ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทยังถือไม่ได้ว่าเป็น ผู้เสียหายอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการ บริษัท ก. ย่อมเป็นผู้เสียหายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้าม ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ และมาตรา 194
หากข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการกระทำผิดตามฟ้อง ฐานปลอมและใช้เอกสารรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด รายงานจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมและหรือมติพิเศษบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท บริษัทตลอดทั้งบรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการย่อมได้รับความเสียหายเกี่ยวกับการกระทำนั้นจึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทจำกัด ไม่ถือเป็นส่วนได้เสียในคดีแรงงานที่จำเลยเป็นนิติบุคคล
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด มีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลย แต่การที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่มีผลโดยตรงต่อผู้ร้อง ทั้งการที่ผู้ร้องเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยและเป็นผู้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ ก็เป็นการกระทำในฐานะผู้แทนจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อไม่ปรากฏเหตุอื่นใดที่จะทำให้ผู้ร้องต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ผู้ร้องย่อมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ ผู้ร้องจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิและไม่มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี ไม่อาจขอเข้าเป็นจำเลยร่วมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7168/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัทร่วมรับผิดในหนี้จากการทำนิติกรรม แม้เป็นเพียงกรรมการ
แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะทำนิติกรรมใด ๆ เป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 1 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันจ้างโจทก์ผลิตเครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องปรับอากาศ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้างขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าจ้างแก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะให้การว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเพียงกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวแต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ทนายจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง คำแถลงของทนายจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการสละข้อต่อสู้ในคำให้การ โดยรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจ้างโจทก์ผลิตเครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องปรับอากาศ และยังค้างชำระค่าจ้างจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7168/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัทร่วมรับผิดในหนี้จากการทำสัญญา แม้จะอ้างเป็นเพียงตัวแทน
แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะทำนิติกรรมใด ๆ เป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 1 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันจ้างโจทก์ผลิตเครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องปรับอากาศ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้าง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าจ้างแก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะให้การว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเพียงกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวแต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ทนายจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง คำแถลงของทนายจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการสละข้อต่อสู้ในคำให้การ โดยรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจ้างโจทก์ผลิตเครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องปรับอากาศ และยังค้างชำระค่าจ้างจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัททราบฐานะการเงินออกเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่าย ถือเป็นตัวการร่วมความผิด พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า จำเลยที่ 2 มิใช่เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาท แต่เมื่อเช็คพิพาทเป็นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 และมีอำนาจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ ย่อมต้องทราบฐานะการเงินของบริษัทจำเลยที่ 1 ว่ามีเงินพอ ที่จะจ่ายตามเช็คได้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในเช็คพิพาทและส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องด้วยแล้ว เพราะความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าผู้กระทำความผิดคือผู้ออกเช็คเท่านั้นบุคคลอื่นก็อาจร่วมกระทำเป็นตัวการด้วยได้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ไม่ร้ายแรงนัก ทั้งจำเลยที่ 2ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาผลร้ายแล้วประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้ความปรานีรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 ได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันทึกข้อตกลงยินยอมลาออกจากกรรมการบริษัท ไม่ถือเป็นการบอกเลิกจ้าง
แม้ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยข้อ 3 ระบุว่า ในกรณีที่จำเลยมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงให้โจทก์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริษัทและผู้ถือใบอนุญาตจัดหางาน ในนามบริษัท โจทก์ตกลงยินยอมที่จะลงนามในเอกสารหรือคำขอ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อให้บรรลุการนั้นโดยทันทีตามที่จำเลย จะได้แจ้งให้ทราบก็ตาม แต่ข้อความตามบันทึกข้อดังกล่าว เป็นเพียงการตกลงกันล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยมีความประสงค์ จะเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ โดยโจทก์ต้องยินยอมเท่านั้นมิได้หมายความว่าหากจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงให้โจทก์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแล้วถือว่าจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทันทีนอกจากนี้ปรากฏว่าหลังจากจำเลยจดทะเบียนให้โจทก์ พ้นจากกรรมการผู้จัดการแล้วโจทก์ยังทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตลอดมา ดังนั้น ข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการ บอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของกรรมการบริษัทต่อหนี้จากการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง ทั้งในนามบริษัทและส่วนตัว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 รับรองต่อโจทก์ว่ายินยอมรับผิดชอบทั้งหมดในการสั่งซื้อสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ 2ให้การว่า ได้ลงนามสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์จริง แต่มีเงื่อนไขและวงเงินในการสั่งซื้อ จำเลยที่ 2 จะรับผิดเฉพาะรายการสินค้า ที่สั่งซื้อเท่านั้น อีกทั้งโจทก์ไม่เคยแจ้งยอดหนี้หรือบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ 1 และยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวด้วย คดีจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ในนามจำเลยที่ 1 หรือในฐานะส่วนตัวอีก ศาลล่างวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ 1 หรือในฐานะส่วนตัว จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างในฐานะกระทำแทนจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 1และที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ และแม้ตามสัญญาซื้อขายวัสดุการก่อสร้างระบุจำนวนเงินไว้ 200,000 บาทแต่ในทางปฏิบัติระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 คู่สัญญาได้ซื้อขายวัสดุก่อสร้างเกินจำนวนเงินดังกล่าวตลอดมาแสดงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ถือว่าจำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงื่อนไขสาระสำคัญในการจำกัดความรับผิด จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเงินค่าสินค้าจำนวน376,479 บาท ตามที่รับสินค้าไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6203/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าหุ้น: สิทธิเรียกร้องเกิดเมื่อมีคำบอกกล่าวเรียกชำระจากกรรมการบริษัท และไม่ขาดอายุความหากยังไม่มีการบอกกล่าว
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องถือหุ้นบริษัท จำเลยจำนวน 100 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท ผู้ร้องชำระเงินค่าหุ้น ขณะจัดตั้งบริษัทเป็นเงิน 25,000 บาท คงค้างชำระเงินค่าหุ้น อีก 75,000 บาท แต่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อที่ว่าสิทธิเรียกร้อง ในมูลหนี้เงินค่าหุ้นที่ผู้ร้องค้างชำระขาดอายุความหรือไม่ ศาลอุทธรณ์กลับฟังข้อเท็จจริงว่ากรรมการบริษัทจำเลย เรียกให้ผู้ร้องชำระเงินค่าหุ้นส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 ให้ครบมูลค่าของหุ้น อันแสดงว่าผู้ร้องค้างชำระเงินค่าหุ้น เพียง 50,000 บาท เท่านั้น ฉะนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงขัดกันไม่เป็นไปในทางเดียวกันว่าผู้ร้อง ยังค้างชำระเงินค่าหุ้นอยู่เพียงใดศาลฎีกาจึงฟังข้อเท็จจริง ใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (3) (ก)ประกอบด้วยมาตรา 247 และพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 153 ตามบทบัญญัติมาตรา 1120 และ 1121 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้อำนาจกรรมการบริษัทจะเรียกผู้ถือหุ้นส่งใช้เงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกในแต่ละคราวเมื่อใดเป็นจำนวนเงินเท่าใดก็ได้ตราบเท่าที่บริษัทยังคงดำรงอยู่ และเมื่อกรรมการบริษัทเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีก สิทธิเรียกร้องก็เกิดขึ้นในแต่ละคราวที่กรรมการบริษัทส่งคำบอกกล่าวเรียกเงินค่าหุ้นนั้น และเนื่องจากสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้เช่นว่านี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อกรรมการบริษัทจำเลยไม่เคยส่งคำบอกกล่าวเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกไปยังผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยจึงยังไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้เงินค่าหุ้นที่ผู้ร้องค้างชำระอายุความจึงไม่เริ่มนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 ดังนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้คัดค้านจึงมีอำนาจตาม พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 22 และมาตรา 119 เรียกให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยชำระเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกทั้งหมดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5493/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีแรงงาน, การจ่ายสินจ้างทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า, และความรับผิดของกรรมการบริษัท
ที่จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่า โจทก์ลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 เอง จำเลยทั้งห้ามิได้เลิกจ้างโจทก์นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่รับฟังว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่ใช่เป็นกรณีโจทก์ลาออกเอง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามสัญญา จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนค่าเสียหายเกี่ยวกับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจำเลยไม่ต้องจ่ายแก่โจทก์เพราะจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหายซึ่งได้แก่ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่โจทก์ระบุมาในฟ้อง ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้าเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์การคำนวณค่าเสียหายในส่วนนี้เพียงอาศัยสัญญาจ้างตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมายจ.2 ข้อ 4 เป็นฐานในการคิดเท่านั้น มิใช่เป็นการพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้ตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างดังกล่าว ฉะนั้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าที่อ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้ตามสัญญาจ้างจึงไม่ใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลแรงงานกลางที่จะอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 223 ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลในฐานะนายจ้าง แม้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 จะระบุให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีฐานะเป็นนายจ้างด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้กระทำการใด ๆ อันเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ก็เป็นเพียงผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการเท่านั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวหรือร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
เมื่อตามเอกสารระบุถึงการจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์หลังจากเลิกจ้างแล้วอีก 3 เดือน โดยไม่ปรากฏว่าเป็นเงินประเภทใด แต่การจ่ายเงินในอัตราดังกล่าวเป็นลักษณะของการจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 (2) เพราะโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยเป็นเวลาปีเศษ แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย90 วัน หรือ 3 เดือน ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ การที่ศาลแรงงานนำข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวที่ว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยหลังจากเลิกจ้างแล้วดังกล่าวไปหักออกจากความรับผิดที่จำเลยจะต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินที่โจทก์ได้รับหลังจากเลิกจ้างแล้วนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดในการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
เมื่อปรากฏว่าศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2539 นั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
of 14