พบผลลัพธ์ทั้งหมด 104 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามลักทรัพย์: การกระทำที่ใกล้ชิดกับทรัพย์สินและเตรียมพร้อมที่จะลักทรัพย์ถือเป็นความผิด
จำเลยได้เข้าไปในที่เก็บรักษาทรัพย์เพื่อสำรวจทรัพย์ที่จะลักเอาไป และกำลังนำรถยนต์บรรทุกมาขนทรัพย์ที่จะลัก โดยเฉพาะลวดทองแดงที่จำเลยจะลักเอาไปนั้นวางกองไว้บริเวณที่สามารถเข้าไปยกเอาไปได้ แม้จำเลยกับพวกจะยังไม่ได้แตะต้องตัวทรัพย์ แต่นับว่าใกล้ชิดพร้อมที่จะเอาไปได้ในทันทีทันใด การกระทำของจำเลยอยู่ในขั้นลงมือกระทำความผิดแล้ว เพียงแต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบจำเลยก่อนที่จำเลยจะลักทรัพย์ดังกล่าวไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดทางอาญา: ผู้ใช้/ผู้สนับสนุน vs. ผู้ร่วมกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับ ด.ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ในขณะที่ ด.จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยไม่ได้อยู่ร่วมด้วย โดยในขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านเพื่อนของจำเลย แต่จำเลยได้มอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด.จำหน่ายให้สายลับผู้ล่อซื้อ อันเป็นการใช้หรือก่อให้ ด.กระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 84 ดังนี้จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วมกับ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นความผิดตามมาตรา 83 ที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา192 วรรคสอง การที่จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด.เพื่อจำหน่ายถือได้ว่าเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเป็นการให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ด.กระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 86 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่ทางพิจารณาได้ความนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดยาเสพติด: การมอบยาให้ผู้อื่นจำหน่าย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับ ด. ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ในขณะที่ ด. จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยไม่ได้อยู่ ร่วมด้วย โดยในขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านเพื่อนของจำเลย แต่จำเลยได้มอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด. จำหน่ายให้สายลับผู้ล่อซื้อ อันเป็นการใช้หรือก่อให้ ด. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ดังนี้ จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วม กับ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นความผิดตามมาตรา 83 ที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง การที่จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ไว้ให้ ด. เพื่อจำหน่ายถือได้ว่าเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ด. กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเป็นการ ให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ด.กระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่ทางพิจารณาได้ความนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยร่วมกระทำความผิดอาญาอาศัยพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายและท่าทางประกอบคำรับสารภาพ
ที่เหตุเกิดเป็นทางสัญจรและเป็นถนนสายหลักสายสำคัญ จึงน่าเชื่อว่าเวลา 1 นาฬิกา ยังมีรถแล่นอยู่และต้อง เปิดไฟสว่างแล่นสวนกันไปมา เชื่อว่าผู้เสียหายกับ ส. ต้องเห็นและจำคนร้ายได้ถนัดโดยเฉพาะคนร้ายที่ไม่ได้ สวมหมวกนิรภัย นอกจากนี้หลังเกิดเหตุผู้เสียหายกับ ส. ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบถึงลักษณะของคนร้าย เมื่อจับคนร้ายได้ผู้เสียหายกับ ส. ไปดูตัวและยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายที่ใช้มีดฟันสายรัดกระเป๋าเสื้อผ้า กับจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายที่ใช้ไขควงจี้คุมผู้เสียหายกับ ส. ทั้งจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและนำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ แม้จำเลยที่ 3 จะนำสืบว่า คำให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่และ ทำร้ายก็ตาม แต่ได้ความว่าในชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องหาอื่นอีก 4 คน ให้การปฏิเสธ ถ้ามีการข่ม ขู่หรือทำร้ายจริงเหตุใดเจ้าพนักงานตำรวจ จึงบังคับแต่เพียงจำเลยที่ 3 ไม่บังคับบุคคลที่ให้การปฏิเสธ ดังกล่าวให้ให้การรับสารภาพด้วย พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8123/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจริบยานพาหนะ: การพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดโดยตรง
โจทก์ฟ้องและมีคำขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางด้วย แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องของกลาง จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 186 (9)แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
ปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ.มาตรา 33 (1) นั้น ต้องพิจารณาดูตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดแต่ละเรื่องไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลางว่า จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำและจี้ทองคำของผู้เสียหายโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า และใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ภายหลังการวิ่งราวทรัพย์ มิใช่ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในเรื่องทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามมาตรา 33 (1) แห่ง ป.อ.ดังกล่าว ศาลจึงไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ.มาตรา 33 (1) นั้น ต้องพิจารณาดูตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดแต่ละเรื่องไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลางว่า จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำและจี้ทองคำของผู้เสียหายโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า และใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้ภายหลังการวิ่งราวทรัพย์ มิใช่ใช้ในการวิ่งราวทรัพย์ ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในเรื่องทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามมาตรา 33 (1) แห่ง ป.อ.ดังกล่าว ศาลจึงไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6603/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเข้าร่วมกระทำความผิดลักทรัพย์: การกระทำร่วมกันเป็นตัวการ
ขณะเกิดเหตุมีคนร้ายลักเงินสดจำนวน 1,400 บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต และโดยฉกฉวยไปซึ่งหน้าผู้เสียหาย การที่จำเลยทั้งสองได้วิ่งไปพร้อมกับม.คนร้ายอีกคนหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาที่คนร้ายได้หยิบเงินของผู้เสียหายโดยฉกฉวยไปแม้ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นคนที่หยิบเงินของผู้เสียหายไปก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองหรือม.คนใดคนหนึ่งเป็นผู้หยิบเงินของผู้เสียหายไป โดยก่อนการกระทำผิด จำเลยทั้งสองกับม.ได้เดินผ่านหน้าร้านของผู้เสียหายหลายรอบ แล้วแยกกันอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของผู้เสียหาย จากนั้นจึงลงมือกระทำผิดแล้วพากันวิ่งหนีพร้อมกันไปเช่นนี้ แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองกับ ม.มีเจตนาร่วมกันกระทำผิดมาตั้งแต่เริ่มก่อนการกระทำผิดแล้วจำเลยทั้งสองจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 336 ประกอบมาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามชิงทรัพย์: การกระทำยังไม่บรรลุผลเนื่องจากไม่ได้ยึดถือทรัพย์สิน
จำเลยใช้ลูกเหล็กของกลางทุบตีที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมอยู่ที่คอจนขาด แต่สร้อยคอหลุดมือตกลงที่พื้น จำเลยที่ 1 ก้มลงเก็บ ผู้เสียหายที่ 1 ร้องขอความช่วยเหลือและเข้ากอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้ ผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย จำเลยสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนีไป แม้ขณะสร้อยคอทองคำหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 สร้อยคอทองคำจะอยู่ที่มือจำเลยตอนกระชาก ก็เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายจะให้สร้อยคอหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 แต่หลังจากกระชากแล้วสร้อยคอหลุดจากมือจำเลยตกลงที่พื้นแล้วจำเลยยังไม่ทันยึดถือเอาสร้อยคอทองคำไป การที่จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายที่ 1 ไปไม่ได้ก็เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 กอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้โดยมีผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย เห็นได้ว่า จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่การยึดถือเอาสร้อยคอทองคำนั้นไปยังไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4053/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะ: การกระทำความผิดต่อเนื่องจากถูกข่มเหง
ตาม ป.อ. มาตรา 72 ที่ว่า "กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น" มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นขณะเดียวกัน พร้อมกับการข่มเหงและบันดาลโทสะ หากแต่หมายความว่ากระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่
ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปล่ามวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่น ผู้ตายร้องด่าไปตลอดทางที่เดินไปบ้านน้องภริยาจำเลยซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย แล้วผู้ตายใช้ไม้ฝาบ้านตีน้องภริยาจำเลย 2 ถึง3 ครั้ง จำเลยห้ามปราม ผู้ตายไม่ยอมหยุด กลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีก พฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ทำให้จำเลยโกรธผู้ตาย การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบังดาลโทสะ และแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ 15 เมตร การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น
ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปล่ามวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่น ผู้ตายร้องด่าไปตลอดทางที่เดินไปบ้านน้องภริยาจำเลยซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย แล้วผู้ตายใช้ไม้ฝาบ้านตีน้องภริยาจำเลย 2 ถึง3 ครั้ง จำเลยห้ามปราม ผู้ตายไม่ยอมหยุด กลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีก พฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ทำให้จำเลยโกรธผู้ตาย การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบังดาลโทสะ และแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ 15 เมตร การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4053/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะ: การกระทำความผิดต่อเนื่องกระชั้นชิด แม้ไม่ทันทีทันใด ก็ถือว่ากระทำในขณะที่บันดาลโทสะ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่ว่า "กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น" มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นขณะเดียวกันพร้อมกับการข่มเหงและบันดาลโทสะ หากแต่หมายความว่ากระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปล่ามวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่น ผู้ตายร้องด่าไปตลอดทางที่เดินไปบ้านน้องภริยาจำเลยซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย แล้วผู้ตายใช้ไม้ตีฝาบ้านน้องภริยาจำเลย 2 ถึง 3 ครั้ง จำเลยห้ามปรามผู้ตายไม่ยอมหยุด กลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีก พฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมทำให้จำเลยโกรธผู้ตาย การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ และแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ 15 เมตร การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4053/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะ: การกระทำความผิดต่อเนื่องจากถูกข่มเหง แม้มีระยะห่างและช่วงเวลาห้ามปราม
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา72ที่ว่า"กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น"มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นขณะเดียวกันพร้อมกับการข่มเหงและบันดาลโทสะหากแต่หมายความว่ากระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปล่ามวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่นผู้ตายร้องด่าไปตลอดทางที่เดินไปบ้านน้องภริยาจำเลยซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วยแล้วผู้ตายใช้ไม้ตีฝาบ้านน้องภริยาจำเลย2ถึง3ครั้งจำเลยห้ามปรามผู้ตายไม่ยอมหยุดกลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีกพฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมทำให้จำเลยโกรธผู้ตายการที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ15เมตรการกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น