พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายเงินทุนสะสมของธนาคาร: เหตุไม่ต้องจ่ายเมื่อพนักงานกระทำละเมิดทำให้ธนาคารเสียหาย
ระเบียบของจำเลยว่าด้วยเงินทุนสะสม พ.ศ. 2520 ระบุว่าเมื่อพนักงานบุคคลใด ออกจากธนาคาร ให้ธนาคารจ่ายเงินสะสมแก่พนักงานบุคคลนั้น เว้นแต่ในกรณีต้อง ออกจากงานตาม คำสั่งของธนาคาร เพราะกระทำการทุจริตในหน้าที่หรือกระทำการประมาทเลินเล่อ หรือกระทำการอื่นใด เป็นเหตุให้ธนาคารต้อง เสียหาย... หมายความว่าจำเลยจะไม่ต้องจ่ายเงินทุนสะสมให้แก่พนักงานถ้า พนักงานกระทำให้จำเลยได้ รับความเสียหายโดยตรงต่อ ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงของจำเลยการที่โจทก์ปลุกปล้ำทำอนาจาร อ. พนักงานในสำนักงานเดียวกันแต่ กระทำนอกสถานที่ทำงานเป็นการกระทำในเรื่องส่วนตัว และมิได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งจะถือว่าการกระทำละเมิดต่อ อ.ดังกล่าวเป็นการทำละเมิดต่อ จำเลยด้วย หาได้ไม่ โจทก์ไม่ได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตาม ความหมายของระเบียบดังกล่าวอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินสะสมให้แก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาในคดีอาญาต่อคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน การกระทำละเมิดจากการจ่ายเช็ค
โจทก์เคยฟ้องธนาคารจำเลยที่ 1 ผู้จัดการและสมุห์บัญชีธนาคารสาขาจำเลยที่ 4, ที่ 5 ว่ายักยอกเงินฝากของโจทก์ ศาลอาญาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยที่ 4 ที่ 5 ปลอมเอกสาร และยินยอมให้เบิกเงินไปตามเอกสารปลอมและเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สาม การสันนิษฐานของผู้ชำนาญการเป็นไปได้หลายนัยฟังเป็นยุติอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ทั้งจำเลยนำสืบโต้แย้งฟังได้ว่าได้จ่ายเงินตามเช็คไปโดยสุจริตใจ ไม่ได้ปลอมใบขอซื้อเช็คหรือเช็คแต่อย่างใดพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์การที่โจทก์มาฟ้องคดีแพ่งในเงินฝากรายเดียวกันนี้ อ้างว่าจำเลยที่ 1กับพวกจงใจหรือประมาทเลินเล่อจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ให้แก่ผู้นำเช็คมาเบิกเงินไปเป็นเหตุให้เงินฝากของโจทก์ขาดหายไป จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวนอกจากจะผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นแล้วในการพิพากษาคดีแพ่ง ศาลยังจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญานั้นว่าจำเลยที่ 1 กับพวกจ่ายเงินตามเช็คไปโดยสุจริตใจโดยไม่มีการปลอมใบขอซื้อเช็คหรือเช็คแต่อย่างใด จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3696/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด การบรรยายฟ้องไม่เคลือบคลุมหากระบุความเสียหายเป็นจำนวนเงินชัดเจน
โจทก์บรรยายถึงความเสียหายว่า ผลแห่งการกระทำละเมิดครั้งนี้ทำให้รถจักรดีเซล ตู้รถบรรทุกน้ำมัน ป้ายจราจรทางบกของโจทก์ได้รับความเสียหาย คือรถจักรดีเซลเลขที่ 524 เสียหายเป็นเงิน 6,750 บาท รถ บทค. เลขที่ 1097 เสียหายเป็นเงิน 1,867.50 บาท รถ บทค. เลขที่ 976เสียหายเป็นเงิน 317.50 บาท ป้ายจราจรทางบกของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 914.50 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 9,849.50 บาท เป็นการบรรยายถึงความเสียหายโดยแจ้งชัดแล้วว่าทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินค่าเสียหายเท่าใดส่วนรายละเอียดเสียหายอย่างใดนั้นเป็นเรื่องที่จะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายจึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องห้ามกระทำละเมิด: จำเลยต้องยกเหตุผลในการกระทำเป็นข้อต่อสู้ก่อน โจทก์ไม่ต้องระบุรายละเอียดการผิดสัญญาในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องโดยท้าวความว่าเดิมจำเลยทำสัญญาจะปลูกตึกในที่โจทก์ จำเลยผิดสัญญา โจทก์ก็ได้บอกเลิกแล้วจำเลยยังฝ่าฝืนอีก โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
ดังนี้ประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาหรือไม่นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจำเลยอ้างขึ้นต่อสู้ซึ่งยังไม่เป็นข้อพิพาทกันในชั้นฟ้อง ฉะนั้นเมื่อคำบรรยายฟ้องไม่ได้ระบุว่าจำเลยผิดสัญญาประการใดบ้าง ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ดังนี้ประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาหรือไม่นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจำเลยอ้างขึ้นต่อสู้ซึ่งยังไม่เป็นข้อพิพาทกันในชั้นฟ้อง ฉะนั้นเมื่อคำบรรยายฟ้องไม่ได้ระบุว่าจำเลยผิดสัญญาประการใดบ้าง ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2486
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องละเมิด: การระบุการสมคบคิดและกระทำละเมิดเป็นหลักฐานเพียงพอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า 'ข้าพเจ้าทราบว่าระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2484 จำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 บังอาจกระทำละเมิด'ดังนี้ ย่อมถือว่าเป็นฟ้องที่ชัดแจ้งพอที่จะเข้าใจได้แล้ว ว่าโจทก์กล่าวยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5234/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้บุกรุกที่ดินเช่า โดยพิสูจน์การกระทำละเมิดและกระจายความรับผิดตามพฤติการณ์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 อ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิมาจากการที่ ม. เช่าที่พิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วสืบสิทธิต่อเนื่องกันมา แต่มิได้มีหลักฐานเกี่ยวกับสัญญาเช่าหรือหลักฐานการชำระเงินค่าเช่ามาแสดง ทั้งยังได้ความว่า ม. ถึงแก่ความตายไปแล้ว สิทธิการเช่าที่พิพาทย่อมสิ้นสุดลง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 จึงไม่อาจที่จะอ้างการสืบสิทธิของ ม. เพื่ออยู่ในที่พิพาทต่อไปได้ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ใช้สิทธิแห่งตนในการฟ้องคดี โดยมีโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมฟ้องขับไล่มาด้วย จึงเป็นการใช้สิทธิแห่งตนที่มีอยู่เพื่อขับไล่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 15 ผู้กระทำละเมิดได้
โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ที่ 1 หนังสือมอบอำนาจ ย. ผู้ว่าการของโจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้แทน โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ม. อันเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิ จึงถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในที่พิพาท จึงอยู่ในฐานะผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีร่วมกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิในกรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่านั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 และมาตรา 549 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดตามพฤติการณ์ความร้ายแรงให้แก่โจทก์ที่ 2
เมื่อพิจารณาการทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบห้าแล้ว เห็นว่า จำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายได้เข้าไปอยู่อาศัยหรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่พิพาทตามจำนวนเนื้อที่มากน้อยแตกต่างกันคนละเวลา จึงเป็นความรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ไม่ได้ร่วมกันทำละเมิด จึงต้องกระจายความรับผิดของจำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายโดยอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีในการกำหนดค่าเสียหายทางละเมิด
โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ที่ 1 หนังสือมอบอำนาจ ย. ผู้ว่าการของโจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้แทน โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ม. อันเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิ จึงถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 มีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์ในที่พิพาท จึงอยู่ในฐานะผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด เมื่อโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีร่วมกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิในกรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่านั้นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 477 และมาตรา 549 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 13 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดตามพฤติการณ์ความร้ายแรงให้แก่โจทก์ที่ 2
เมื่อพิจารณาการทำละเมิดของจำเลยทั้งสิบห้าแล้ว เห็นว่า จำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายได้เข้าไปอยู่อาศัยหรือก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่พิพาทตามจำนวนเนื้อที่มากน้อยแตกต่างกันคนละเวลา จึงเป็นความรับผิดเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น ไม่ได้ร่วมกันทำละเมิด จึงต้องกระจายความรับผิดของจำเลยแต่ละกลุ่มแต่ละรายโดยอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีในการกำหนดค่าเสียหายทางละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินภารยทรัพย์และการกระทำละเมิดจากการเทคอนกรีตถาวร โดยไม่คำนึงถึงภาระจำยอม
จำเลยทำทางลาดในที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์เพราะจำเลยต้องใช้รถบรรทุกถังแก๊สเข้าไปจอดในร้านเพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินภารยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 จำเลยไม่มีสิทธิกระทำเช่นนั้นได้ ทั้งจำเลยสามารถทำทางขึ้นลงเป็นการชั่วคราวแทนการเทคอนกรีตเป็นการถาวรได้ การที่จำเลยทำทางลาดเข้ามาในที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์