คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การบุกรุก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการบุกรุกที่ดิน: การครอบครองต่อเนื่องแม้มีข้อพิพาท ไม่ถือเป็นการบุกรุกใหม่
จำเลยฟ้องคดีแพ่งว่า ม.บุกรุกที่ดินของจำเลย ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ม.แย่งการครอบครองไปแล้ว คงเป็นของจำเลย 15 ไร่ ระหว่างฎีกาจำเลยจ้างคนเข้าหยอดปอในที่ดินส่วนที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของม. และพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุก ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าที่ดินที่กล่าวหายังพิพาทเป็นคดีแพ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟังไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิโดยแน่แท้ ยังไม่มีมูลความผิดทางอาญาคดีถึงที่สุด ต่อมาเมื่อคดีแพ่งยุติลงว่าที่ดินเป็นของจำเลย 15 ไร่แล้ว จำเลยได้จ้างคนเข้าไถที่ดินที่เป็นส่วนของม.อีก ดังนี้ จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่เข้าหยอดปอ ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องฐานบุกรุกไปแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยยังไม่ยอมสละการครอบครอง มิใช่เข้าไปไถที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองใหม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: สิทธิครอบครองของผู้บุกรุก vs. การครอบครองของโรงเรียน
เมื่อ พ.ศ.2496 ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจับจองที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพื่อกิจการของโรงเรียนแล้ว และยังได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยมีศึกษาธิการอำเภอรับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนครั้น พ.ศ.2498 ครูใหญ่ก็ได้แจ้ง ส.ค.1 ที่พิพาทไว้ในฐานะแทนโรงเรียน ดังนี้แม้โรงเรียนประชาบาลดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคลแต่เป็นโรงเรียนที่นายอำเภอตั้งขึ้นจึงเป็นส่วนราชการของรัฐและพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการแล้วที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ.2496 เป็นต้นมา โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ศ.2496 จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2635/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดการบุกรุก หากแสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลย 1 แปลงอยู่หมู่ที่ 1ตำบลหัวเมือง อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ต่อมาจำเลยเข้ายื้อแย่งบุกรุกทำกินโดยพลการ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และเรียกค่าเสียหายนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าบุกรุกยื้อแย่งที่ตรงไหน เป็นเนื้อที่เท่าใด และมาทำอะไรกินซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบภายหลังได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1095/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินสาธารณสมบัติที่กีดขวางการใช้สิทธิในที่ดินของเจ้าของ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ ทางพิจารณาว่าที่ที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่สาธารณคืออยู่ในที่น้ำท่วมถึงแต่ที่นี้อยู่หน้าที่พิพาทของโจทก์
เรือนโรงของจำเลยกีดขวางหน้าที่โจทก์ โจทก์เสียหายพิเศษโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ได้ ศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะ 'โรงเรียนประชาบาล' ไม่ถือเป็น 'สถานที่สำหรับใช้ในการราชการ'
จำเลยบุกรุกเข้าไปไนโรงเรียนประชาบาล ครูไหย่โรงเรียนนั้นได้ไล่ไห้จำเลยออกไป จำเลยยังขืนหยู่ ดังนี้จำเลยไม่มีความผิดถานบุกรุกสถานที่สำหรับไช้ไนราชการโรงเรียนประชาบาลไม่ไช่สถานที่สำหรับไช้ไนราชการ.
อ้างดีกาที่ 1199/2482

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288-1289/2482

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้ผู้ซื้อฝากทราบการบุกรุกก่อนรับโอน
โจทก์รับซื้อฝากที่วิวาทที่มีโฉนดจากเจ้าของเดิมแล้วภายหลังได้รับโอนเป็นสิทธิ์โดยเด็ดขาด ขณะซื้อฝากผู้โอนที่ให้จำเลยได้บุกรุกที่วิวาทอยู่ก่อนแล้ว ผู้โอนให้จำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่วิวาทมาครบ 10 ปีก่อนโจทก์รับโอนโดยเด็ดขาดดังนี้ จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ฟ้องขับไล่ไม่ได้(ข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์รู้ถึงการบุกรุกอยู่แล้วขณะที่รับซื้อฝากและรับโอน).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2472

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของที่ดินริมน้ำ vs. ผู้บุกรุก; สัญญาซื้อขายครอบคลุมพื้นที่ติดแม่น้ำ แม้รังวัดไม่ชัดเจน
เจ้าของที่ดินริมแม้น้ำ มีสิทธิที่จะห้ามไม่ให้ผู้ใดทำการกีดขวางน่าที่ดินของตนได้ ซื้อขายที่ดินทั้งหมดแม้จะระบุเขตต์ผิดไป ผู้ซื้อก็ได้ที่ทั้งหมด ถ้าปรากฎว่ามีที่มากขึ้น ประมวลแพ่ง ม.132-456-714 ซื้อขายหรือจำนองทีดินทำหนังสือกันเองจะนำมาใช้ยันแก้เจ้าของที่ดินไม่ได้เพ่งเล่งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าตัวอักษร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2691-2692/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำกัดสิทธิการฎีกาในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215, 309 เมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขบทความผิดแต่ลงโทษเท่าเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดสิบห้าฐานร่วมกันทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นและฐานร่วมกันบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 215, 309, 364 และ 365 และขอให้เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษเฉพาะความผิดฐานร่วมกันบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 และ 83 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 29 ที่ 31 ถึงที่ 41 ที่ 43 ถึงที่ 46 ที่ 48 ถึงที่ 80 และที่ 82 คนละ 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 215 และ 309 แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยดังกล่าวมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นอันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกเพียง 6 เดือน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กรณีมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
of 2