พบผลลัพธ์ทั้งหมด 293 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องการพนันไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุยอดเงิน ยอดเงินเป็นรายละเอียดที่สืบได้ในชั้นพิจารณา
ยอดเงินตามโพยมิใช่องค์ประกอบความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบที่ต้องกล่าวมาในฟ้อง แต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับร้ายแรง: การพนันในที่ทำงาน
การกำหนดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างก็เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่นายจ้างในอนาคต การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานในกรณีร้ายแรงบางประเภทก็ไม่ต้องพิจารณาว่าเกิดความเสียหายแก่นายจ้างแล้วหรือไม่
การพนันเป็นหนทางสู่อบายมุข หากผู้ใดหมกมุ่นก็จะเสียงานเสียการเกิดการแตกแยกความสามัคคีในหมู่คนงาน และอาจเป็นผลทำให้คิดกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หากเสียการพนันมาก ๆ จนเกิดปัญหาด้านการเงิน อันอาจจะทำให้ ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายได้ แม้ผู้คัดค้านจะรับแทงสลากกินรวบเพียงจำนวน 100 บาท ก็ได้ชื่อว่าผู้คัดค้านจัดให้เล่นการพนันสลากกินรวบภายในบริษัทผู้ร้องแล้ว ทั้งยังเป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าผืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างและยังเป็นรองประธานสหภาพแรงงานด้วย ควรจะดำรงตน ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนคนงานด้วยกัน แต่กลับมาชักชวนให้เพื่อนคนงานเล่นการพนันเสียเอง จึงสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
การพนันเป็นหนทางสู่อบายมุข หากผู้ใดหมกมุ่นก็จะเสียงานเสียการเกิดการแตกแยกความสามัคคีในหมู่คนงาน และอาจเป็นผลทำให้คิดกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หากเสียการพนันมาก ๆ จนเกิดปัญหาด้านการเงิน อันอาจจะทำให้ ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายได้ แม้ผู้คัดค้านจะรับแทงสลากกินรวบเพียงจำนวน 100 บาท ก็ได้ชื่อว่าผู้คัดค้านจัดให้เล่นการพนันสลากกินรวบภายในบริษัทผู้ร้องแล้ว ทั้งยังเป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าผืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างและยังเป็นรองประธานสหภาพแรงงานด้วย ควรจะดำรงตน ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนคนงานด้วยกัน แต่กลับมาชักชวนให้เพื่อนคนงานเล่นการพนันเสียเอง จึงสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7921/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ยืมเงินที่มีมูลหนี้จากการพนันเป็นโมฆะ
มูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับพิพาทสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยเป็นหนี้การพนันสลากกินรวบแก่โจทก์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3798/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใกล้ชิดวงการพนันเป็นเหตุให้สันนิษฐานว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์หักล้าง
การที่จำเลยอยู่ห่างเพียง 2 ถึง 3 ก้าว ตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมคนเล่นการพนันนั้นนับว่าใกล้ชิดกับวงการพนัน ต้องด้วย ข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเล่นการพนันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติ การพนันฯ จำเลยมีหน้าที่นำสืบหักล้าง แม้จำเลยจะมีพยานหลายปาก มาสืบว่า ตอนเกิดเหตุจำเลยนั่งกินส้มตำอยู่หลังบ้าน แต่จำเลยหาได้ ถามค้านพยานผู้จับกุมให้ปรากฏว่า โต๊ะที่จำเลยนั่งไม่ใช่โต๊ะที่ใช้ เล่นการพนัน กลับได้ความจากผู้จับกุมว่าของกลางที่ยึดได้นั้นวางอยู่ หน้าจำเลยซึ่งขณะนั้นจำเลยกำลังยืนขึ้น พยานจำเลยไม่มีน้ำหนัก หักล้างพยานโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เครื่องรับโทรทัศน์ไม่ใช่เครื่องมือการพนัน: การริบของกลางต้องพิจารณาสภาพของทรัพย์สิน
เครื่องรับโทรทัศน์สีของกลางเป็นเพียงเครื่องมือ และอุปกรณ์รับภาพการแข่งขันชกมวยจากสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นผู้ส่งภาพดังกล่าวมาเท่านั้น การที่จำเลยกับพวก ซึ่งเป็นผู้ชมท้าพนันผลการแข่งขันชกมวย หาทำให้เครื่องรับโทรทัศน์สีดังกล่าวเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยตามความหมายแห่ง พระราชบัญญัติการพนันฯ โดยแท้จริงไม่และแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพกรณีของกลางตามฟ้องแต่เมื่อปรากฏว่าตามสภาพของเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางนั้นมิใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนันชกมวยแล้วเครื่องรับโทรทัศน์สีของกลางจึงไม่ใช่เป็นทรัพย์สินอันจะพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมการพนัน: โจทก์พิสูจน์ได้ตามสันนิษฐาน พ.ร.บ.การพนัน จำเลยต้องพิสูจน์หักล้าง
พยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากพันตำรวจโท ค.เคาะประตูบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อมีคนเปิดประตูแล้วพยานพบว่าภายในบ้านมีการเล่นการพนันกันจึงจับจำเลยกับพวก แม้ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโท ค.และจ่าสิบตำรวจ อ.พยานโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าขณะพยานจับจำเลยนั้นพยานไม่เห็นจำเลยถือไพ่อยู่ก็ตาม แต่พันตำรวจโท ค.เบิกความด้วยว่า จำเลยที่ 2เป็นคนเปิดประตูให้พยาน เมื่อจำเลยที่ 2 เปิดประตูแล้วพยายามหลบหนี ส่วนจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ที่ข้างวงการพนัน เป็นการที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความยืนยันว่า ขณะพยานเข้าไปในบ้านเกิดเหตุคนในบ้านกำลังเล่นการพนันกันโดยมีจำเลยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นการที่โจทก์ได้นำสืบข้อเท็จจริงได้ความตามข้อสันนิษฐานที่ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 6 บัญญัติไว้ กรณีถือว่าโจทก์นำพยานเข้าสืบได้ความตามคำฟ้องแล้ว จึงเป็นหน้าที่ที่จำเลยจะต้องนำสืบหักล้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเล่นการพนัน: โจทก์พิสูจน์ได้ตามข้อสันนิษฐาน พ.ร.บ.การพนัน จำเลยต้องนำสืบหักล้าง
พยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากพันตำรวจโทค.เคาะประตูบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อมีคนเปิดประตูแล้วพยานพบว่า ภายในบ้านมีการเล่นการพนันกันจึงจับจำเลยกับพวก แม้ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโท ค.และจ่าสิบตำรวจอ.พยานโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าขณะพยานจับจำเลยนั้นพยานไม่เห็นจำเลยถือไพ่อยู่ก็ตาม แต่ พันตำรวจโท ค.เบิกความด้วยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนเปิดประตูให้พยาน เมื่อจำเลยที่ 2 เปิดประตูแล้วพยายามหลบหนี ส่วนจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ที่ข้างวงการพนัน เป็นการที่พยานโจทก์ ดังกล่าวเบิกความยืนยันว่า ขณะพยานเข้าไปในบ้านเกิดเหตุคนในบ้าน กำลังเล่นการพนันกันโดยมีจำเลยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นการที่โจทก์ได้นำสืบข้อเท็จจริงได้ความตาม ข้อสันนิษฐานที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 6 บัญญัติไว้ กรณีถือว่าโจทก์นำพยานเข้าสืบได้ความตาม คำฟ้องแล้ว จึงเป็นหน้าที่ที่จำเลยจะต้องนำสืบหักล้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4972/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์และเจตนาในการกระทำผิดกรณีการพนัน ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลล่าง
ผู้ร้องคงมีแต่ฟ.กรรมการบริษัทผู้ร้องเป็นพยานเบิกความลอยๆว่าบริษัทผู้ร้องเป็นเจ้าของตู้ปาเป้าไฟฟ้าซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ทั้งพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างเป็นภาษาต่างประเทศก็ไม่มีคำแปลภาษาไทยไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของตู้ปาเป้าของกลางนอกจากนั้นการที่ผู้ร้องมอบให้ส. เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งตู้ปาเป้าก็ขึ้นอยู่กับส. ว่าจะนำไปติดตั้งที่ใดก็ได้ ผู้ร้องไม่สนใจขอเพียงได้รับเงินเดือน เดือนละ 2,000 บาท เท่านั้น ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้ เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4449/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของคำฟ้องฐานจัดให้มีการเล่นการพนัน และขอบเขตการพิพากษาเกินคำขอ
แม้ในบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จะบรรยายถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้านฯ อันเป็นการใช้คำอย่างย่อโดยละข้อความที่จะตามมาเสีย แต่ในเอกสารฉบับเดียวกันนั่นเองเมื่อกล่าวถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ก็บรรยายโดยใช้คำเต็มว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นและเมื่อศาลชั้นต้นได้บันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐาน ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 19 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักผู้จัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จึงย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 นั่นเองคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันจึงมิใช่เป็นเรื่องพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และคุมความประพฤติไว้ กรณีเช่นว่านี้เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และคุมความประพฤติไว้ กรณีเช่นว่านี้เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4449/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องฐานเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นการพนัน ชอบด้วยกฎหมาย แม้มีข้อความย่อ ศาลฎีกายกประเด็นการพิพากษาเกินคำขอ
แม้ในบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จะบรรยายถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 รับเป็นเจ้าบ้านฯ อันเป็นการใช้คำอย่างย่อโดยละข้อความที่จะตามมาเสีย แต่ในเอกสารฉบับเดียวกันนั่นเองเมื่อกล่าวถึงฐานความผิดของจำเลยที่ 1 ก็บรรยายโดยใช้คำเต็มว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นและเมื่อศาลชั้นต้นได้บันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาตรา 19 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักผู้จัดการให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน จึงย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 นั่นเอง คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพการที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันจึงมิใช่เป็นเรื่องพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และคุมความประพฤติไว้ กรณีเช่นว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2ยังมิได้วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ร้ายแรงนัก จึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1 และคุมความประพฤติไว้ กรณีเช่นว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 โดยรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกฐานหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้พิพากษาแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225