พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ห้องเช่าเพื่ออยู่อาศัยและการปรับปรุงทรัพย์สินเช่า โดยไม่ถือว่าเป็นการใช้ผิดประเพณี หรือไม่สงวนทรัพย์สิน
จำเลยเช่าห้องของโจทก์ แล้วเช่าที่ดินของโจทก์ที่ต่อห้องออกไปและปลูกเป็นห้องส้วมห้องน้ำ และเจาะฝาห้องน้ำเป็นช่องให้อากาศและแสงสว่างเข้า เป็นการกระทำสำหรับการอยู่อาศัยนั่นเอง เป็นการใช้ห้องเช่าตามประเพณีนิยมปกติ และฝาห้องน้ำที่เจาะนี้เป็นของจำเลยทำขึ้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่เช่า เมื่อไม่ต้องการใช้จะรื้อเสียก็ได้ หาใช่ไม่สงวนทรัพย์ที่เช่าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1702/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การย้ายสำมะโนครัวกับการคุ้มครองสัญญาเช่า: การนำสืบข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์การอยู่อาศัยจริง
แม้จะปรากฎตามทะเบียนสำมะโนครัวว่าจำเลยได้ย้ายจากห้องพิพาทไปตั้งร้านจำหน่ายเครื่องเรือนอยู่ที่อีกจังหวัดหนึ่งแล้วก็ตาม จำเลยก็ยังมีสิทธิที่จะนำสืบว่าความจริงมิได้เป็นเช่นว่านั้นได้ ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.94 เพราะบทกฎหมายมาตรานี้มิได้บัญญัติห้ามในกรณีเช่นนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ให้เช่าในการขอเข้าอยู่อาศัยตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ศาลไม่บังคับระงับการใช้สิทธิ
ผู้เช่าจะฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ผู้ให้เช่าระงับการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการควบคุมค่าเช่า เพื่อขอเข้าอยู่ในบ้านที่ผู้เช่าได้เช่านั้น ศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯให้สิทธิผู้ให้เช่าที่จะร้องขอเช่นนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินและสร้างตึกแถว: การสร้างตึกแถวเพื่อตอบแทนบุญคุณไม่ใช่การอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทน
เจ้าของที่ดินยอมให้เขาปลูกตึกแถวเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินโดยให้เจ้าของที่ดินให้ผู้อื่นเช่าตึกแถวต่อไปแต่ผู้ปลูกตึกแถวอาศัยอยู่สองห้องได้จนตลอดชีวิตดังนี้เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินให้เขาปลูกตึกในที่ดินโดยมีค่าตอบแทนไม่ใช่เรื่องให้อาศัยในตึกที่ปลูกสร้างขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงและการสิ้นสุดสิทธิเช่า: การให้ผู้อื่นอยู่อาศัยไม่ถือเป็นการโอนสิทธิเช่าหากไม่ใช่การให้เช่าช่วง
การที่ผู้เช่าให้บริวารของผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน อาศัยอยู่ในห้องเช่า แล้วตนไปอยู่ที่อื่น ภายหลังเมื่อเลิกหุ้นส่วนกันแล้วได้ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยนั้น ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นการให้เช่าช่วงหรือโอนการเช่าให้อยู่แทนเด็ดขาดไม่ผิดสัญญาเช่า
เมื่อสัญญาเช่าของผู้เช่าเดิมยังไม่ระงับ แม้บริวารผู้อาศัยนั้นจะไปทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าใหม่ ก็ยังไม่มีสิทธิตามสัญญาเช่าใหม่นั้น
การที่บริวารผู้อาศัยอยู่ในห้องเช่าพิพาทโดยฝ่าฝืนคำบังคับของศาลที่สั่งขับไล่ ดังนี้จะอ้างสิทธิ ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 543(1) มิได้ เพราะถือว่าอยู่ในลักษณะละเมิด
เมื่อสัญญาเช่าของผู้เช่าเดิมยังไม่ระงับ แม้บริวารผู้อาศัยนั้นจะไปทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าใหม่ ก็ยังไม่มีสิทธิตามสัญญาเช่าใหม่นั้น
การที่บริวารผู้อาศัยอยู่ในห้องเช่าพิพาทโดยฝ่าฝืนคำบังคับของศาลที่สั่งขับไล่ ดังนี้จะอ้างสิทธิ ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 543(1) มิได้ เพราะถือว่าอยู่ในลักษณะละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาเช่า: การใช้พื้นที่เช่าเพื่ออยู่อาศัยกับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ปัญหาโต้เถียงกันว่า สัญญาเช่าจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ หรือไม่นั้น เมื่อตามสัญญาเช่าที่รับกัน ปรากฎว่าเช่าเพื่อเป็นที่ไว้ฉะเพาะแต่สินค้าเท่านั้น แต่จำเลยยังเถียงอยู่ว่า จำเลยและบริวารได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย โดยโจทก์รู้เห็นยินยอมมิว่ากล่าวทักท้วงประการใด ซึ่งเป็นประเด็นโต้เถียงกันในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลต้องดำเนินการสืบพะยานฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185-1187/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะ 'อยู่อาศัย' ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า: การใช้พื้นที่เพื่อการค้าควบคู่กับการอยู่อาศัย
แม้จำเลยจะรับว่าอยู่อาศัยในที่เช่าก็ตาม ยังฟังไม่ชัดลงไปว่า เป็นการอยู่ในฐานะ "อยู่อาศัย" ตามพระราชบัญญัติ หรือเพียงอยู่ในฐานะที่เข้าไปประกอบกิจ
(อ้างฎีกาที่ 1099 - 1147/2491)
(อ้างฎีกาที่ 1099 - 1147/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12387/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนบ้านของผู้อื่น แม้ไม่เสียหาย แต่ทำให้สิ้นสภาพการอยู่อาศัย ถือเป็นทำให้เสียทรัพย์ได้
แม้จำเลยที่ 1 สั่งให้รื้อถอนบ้านของโจทก์ร่วมด้วยความระมัดระวัง ไม่เป็นเหตุให้วัสดุที่รื้อถอนเสียหาย ทั้งนำไปเก็บรักษาไว้อย่างดีเพื่อให้โจทก์ร่วมนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้บ้านของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์สิ้นสภาพไม่เป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไป อันเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น การที่อำเภอบุณฑริกแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนันตำบลคอแลนเป็นประธานกรรมการกลางและประธานกรรมการปกครองเพื่อประกวดหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองนั้นไม่เป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 รื้อบ้านของโจทก์ร่วมโดยพลการได้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 358
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์วัสดุที่รื้อถอนจากบ้านของโจทก์ร่วม โดยไม่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วยเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถือว่าเป็นข้อแตกต่างกันในรายละเอียด มิใช่ข้อสาระสำคัญตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ การที่โจทก์ร่วมทำหนังสือร้องทุกข์มีใจความสำคัญว่า โจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 กับพวกที่ร่วมกันรื้อถอน ทำลายบ้านเรือน ทรัพย์สินและลักเอาทรัพย์สินของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต แม้ไม่มีข้อความระบุให้ชัดเจนว่าประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานใด ก็แปลเจตนาของโจทก์ร่วมได้ว่าประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 และ 121 วรรคสอง ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ร่วมไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
จำเลยที่ 1 รื้อบ้านของโจทก์ร่วมซึ่งมีสภาพชำรุดทรุดโทรมและไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยนานนับสิบปี แล้วสร้างศาลาที่พักสาธารณประโยชน์ขึ้นแทน เพื่อให้ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันตามโครงการพัฒนาหมู่บ้าน แม้เป็นความผิดต่อกฎหมายที่ไม่ได้ขออนุญาตโจทก์ร่วมก่อน แต่พฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรงนัก จึงให้รอการกำหนดโทษตาม ป.อ. มาตรา 56
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์วัสดุที่รื้อถอนจากบ้านของโจทก์ร่วม โดยไม่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วยเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถือว่าเป็นข้อแตกต่างกันในรายละเอียด มิใช่ข้อสาระสำคัญตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ การที่โจทก์ร่วมทำหนังสือร้องทุกข์มีใจความสำคัญว่า โจทก์ร่วมขอร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 กับพวกที่ร่วมกันรื้อถอน ทำลายบ้านเรือน ทรัพย์สินและลักเอาทรัพย์สินของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต แม้ไม่มีข้อความระบุให้ชัดเจนว่าประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานใด ก็แปลเจตนาของโจทก์ร่วมได้ว่าประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนและโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 และ 121 วรรคสอง ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ร่วมไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
จำเลยที่ 1 รื้อบ้านของโจทก์ร่วมซึ่งมีสภาพชำรุดทรุดโทรมและไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยนานนับสิบปี แล้วสร้างศาลาที่พักสาธารณประโยชน์ขึ้นแทน เพื่อให้ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันตามโครงการพัฒนาหมู่บ้าน แม้เป็นความผิดต่อกฎหมายที่ไม่ได้ขออนุญาตโจทก์ร่วมก่อน แต่พฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรงนัก จึงให้รอการกำหนดโทษตาม ป.อ. มาตรา 56