พบผลลัพธ์ทั้งหมด 24 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการขยายผลถึงตัวการ กรณีบริษัทเชิด
ศาลแรงงานกลางฟังว่าผู้ร้องและบริษัทจำเลยเป็นนิติบุคคลที่เกี่ยวพันอันเดียวกัน การจัดตั้งบริษัทจำเลยก็เพื่อเชิดบังหน้าต่อทางราชการและบุคคลภายนอก การดำเนินการของบริษัทจำเลยคือการดำเนินกิจการของผู้ร้อง จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้อง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจึงมีสิทธิยึดทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งเป็นตัวการได้ ดังนี้อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำยึด การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนเชิดของผู้ร้องเป็นเรื่องนอกประเด็นนั้นผู้ร้องประสงค์ที่จะให้ศาลฎีการับฟังว่าผู้ร้องกับจำเลยมิได้ร่วมกันดำเนินกิจการดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้าง: นโยบายเลื่อนชั้นประจำปีมีผลใช้บังคับเฉพาะปีนั้น และไม่สามารถขยายผลต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
การเลื่อนชั้นพนักงานเป็นอำนาจของธนาคารจำเลยผู้เป็นนายจ้างที่จะพิจารณาตามที่เห็นสมควรแก่อัตราตำแหน่งที่มีอยู่ประกอบกับผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องนี้
ประกาศนโยบายการเลื่อนชั้นพนักงานขณะที่เป็นเพียงหนังสือของธนาคารจำเลยถึงผู้จัดการฝ่ายการพนักงาน เพื่อให้ถือเป็นหลักปฏิบัติยังไม่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่ต่อมาสหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อธนาคารจำเลยและได้ตกลงยอมรับเอาประกาศนโยบายฉบับดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับดังนั้นประกาศนโยบายฉบับดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ธนาคารจำเลยประกาศนโยบายการเลื่อนชั้นพนักงานเป็นปี ๆ ไป โดยแต่ละปีมีหลักเกณฑ์และแนวทางแตกต่างกันไป ดังนี้จะนำประกาศนโยบายปีหนึ่งมาใช้บังคับในปีถัดไปหาได้ไม่
กรณีตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 12 หมายถึง ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีผลบังคับเป็นการทั่ว ๆ ไป มิใช่เป็นข้อตกลงที่มีเจตนาให้ใช้บังคับชั่วระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้เท่านั้น
ประกาศนโยบายการเลื่อนชั้นพนักงานขณะที่เป็นเพียงหนังสือของธนาคารจำเลยถึงผู้จัดการฝ่ายการพนักงาน เพื่อให้ถือเป็นหลักปฏิบัติยังไม่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่ต่อมาสหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อธนาคารจำเลยและได้ตกลงยอมรับเอาประกาศนโยบายฉบับดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับดังนั้นประกาศนโยบายฉบับดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ธนาคารจำเลยประกาศนโยบายการเลื่อนชั้นพนักงานเป็นปี ๆ ไป โดยแต่ละปีมีหลักเกณฑ์และแนวทางแตกต่างกันไป ดังนี้จะนำประกาศนโยบายปีหนึ่งมาใช้บังคับในปีถัดไปหาได้ไม่
กรณีตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 12 หมายถึง ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มีผลบังคับเป็นการทั่ว ๆ ไป มิใช่เป็นข้อตกลงที่มีเจตนาให้ใช้บังคับชั่วระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1668/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธ: การปรับบทลงโทษที่ถูกต้องและการขยายผลถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกา
จำเลยมีอาวุธปืนและลูกระเบิดติดตัวไปในการปล้นทรัพย์ และขู่ว่าจะใช้หากเจ้าทรัพย์ขัดขืน โดยไม่ได้ยิงปืนหรือใช้วัตถุระเบิดทำให้เกิดระเบิดขึ้นแต่อย่างใด เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ฐานปล้นโดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยเท่านั้น ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 340 วรรคสี่ และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2573/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิในกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วม ศาลพิจารณาขยายผลถึงที่ดินทั้งหมดในโฉนด
คำร้องสอดขอเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ อ้างกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมในโฉนดเป็นการร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิที่มีอยู่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เหมือนฟ้องคดีใหม่ โจทก์เดิมฟ้องเฉพาะที่ดินบางส่วนในโฉนด ศาลก็พิจารณาถึงที่ดินส่วนอื่นซึ่งผู้ร้องสอดร้องเข้ามาตาม มาตรา 57(1) นั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงยอมความขยายผลถึงค่าเสียหาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมที่บังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าและให้จำเลยให้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาทด้วย จำเลยให้การว่า เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ๆ ค่าเสียหายของโจทก์อย่างสูงไม่เกินเดือนละ 50 บาท ในการพิจารณาคู่ความตกลงกันว่า จะพิพาทกันเฉพาะประเด็นที่ว่า ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยอันจะได้รับความคุ้มครอง ๆ หรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นข้ออื่นคู่ความตกลงกันสละเสียไม่ถือเป็นข้อพิพาทต่อไปคือ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นเคหะโจทก์ยอมแพ้ ถ้าวินิจฉัยว่าไม่เป็ฯเคหะ จำเลยยอมแพ้ ดังนี้ เมื่อศาลฟังว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะ จำเลยแพ้คดีตามคำห้า จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทด้วย จะอ้างว่าคู่ความตกลงสละประเด็นข้อค่าเสียหายแล้วศาลพิพากษาให้ชำระค่าเสียหายเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและเกินคำขอ ดังนี้ หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากชิงทรัพย์เป็นทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและขยายผลถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา
ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันชิงทรัพย์ จำเลยผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยสมคบกันทำร้ายร่างกายเท่านั้น ดังนี้เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์ให้ได้รับผลดีตามคำพิพากษาด้วยได้
ฟ้องว่าชิงทรัพย์พิจารณาว่าทำร้ายร่างกายลงโทษได้
ฟ้องว่าชิงทรัพย์พิจารณาว่าทำร้ายร่างกายลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2488 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: การขยายผลจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ แม้ต่างจากฟ้องเดิม
ฟ้องว่าจำเลยรับของโจรโคเป็นพิจารณาได้ความว่ารับของโจรเนื้อโคก็ลงโทษได้ ไม่เรียกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎในการพิจารณาต่างกับฟ้อง
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกและยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญอื่น ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่.
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกและยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญอื่น ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13379/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและขยายผลคดียาเสพติด: การแสวงหาหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายและการอำนาจสอบสวน
การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ท. ได้ขณะลักลอบขนยาเสพติดให้โทษจากจังหวัดมุกดาหารเพื่อจะไปส่งมอบให้ จ. และจำเลย ผู้ร่วมขบวนการซึ่งกำลังรอรับยาเสพติดให้โทษอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ถือได้ว่า ท. จ. และจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยกันอยู่แล้ว การที่เจ้าพนักงานตำรวจนำตัว ท. เดินทางต่อไปยังกรุงเทพมหานครเพื่อนำยาเสพติดให้โทษไปส่งมอบให้ จ. และจำเลย จึงเป็นวิธีการแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ร่วมกระทำความผิด มิใช่เป็นการล่อให้บุคคลที่มิได้มีเจตนาในการกระทำความผิดอยู่ก่อนให้หลงกระทำความผิด การดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อขยายผลจับกุมจำเลยของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในขณะกำลังกระทำความผิดซึ่งหน้าโดยมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองจึงไม่ต้องมีหมายจับ ส่วนการที่ผู้จับกุมไม่ใส่กุญแจมือจำเลยย่อมเป็นดุลพินิจในการใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี
ความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมีผู้ร่วมกระทำความผิดสองคน ซึ่งเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ จากที่ผู้ต้องหาคนหนึ่งนำยาเสพติดให้โทษติดตัวในขณะเดินทางผ่านอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อต่อมายังกรุงเทพมหานคร เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้ต้องหาคนแรกได้ก่อนในท้องที่ของสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วซึ่งเป็นท้องที่ที่จับผู้ต้องหาได้ก่อน จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ การที่เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมควบคุมตัวจำเลยและ ท. พร้อมด้วยยาเสพติดให้โทษของกลางส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วทำการสอบสวน จึงชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในขณะกำลังกระทำความผิดซึ่งหน้าโดยมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองจึงไม่ต้องมีหมายจับ ส่วนการที่ผู้จับกุมไม่ใส่กุญแจมือจำเลยย่อมเป็นดุลพินิจในการใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี
ความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมีผู้ร่วมกระทำความผิดสองคน ซึ่งเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ จากที่ผู้ต้องหาคนหนึ่งนำยาเสพติดให้โทษติดตัวในขณะเดินทางผ่านอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อต่อมายังกรุงเทพมหานคร เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้ต้องหาคนแรกได้ก่อนในท้องที่ของสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วซึ่งเป็นท้องที่ที่จับผู้ต้องหาได้ก่อน จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ การที่เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมควบคุมตัวจำเลยและ ท. พร้อมด้วยยาเสพติดให้โทษของกลางส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วทำการสอบสวน จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นดอกเบี้ยนอกเหนือคำขออุทธรณ์ และขยายผลการชำระหนี้ไปยังจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์อุทธรณ์แต่เพียงขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 ด้วยโดยมิได้ขอให้ได้รับชำระค่าเสียหายและดอกเบี้ยเต็มตามที่ขอท้ายฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกขึ้นวินิจฉัยว่าค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานั้นเหมาะสมแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่กำหนดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นั้นไม่ชอบ และพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ด้วย จึงไม่ชอบ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงเห็นควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบ มาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำคุกจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากให้ความร่วมมือขยายผลจับกุม
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 2,000 เม็ด น้ำหนัก 179.39 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 51.148 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย อันต้องด้วยบทกำหนดโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคสาม แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เจ้าพนักงานตำรวจสามารถล่อซื้อจับกุมจำเลยที่ 2 พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว จำเลยที่ 2 ให้การว่ารับเมทแอมแฟตามีนของกลางมาจาก ว. หรือ ม. และร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจจนสามารถขยายผลจับกุม ว. พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวน 70 เม็ด นับว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำความผิดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนเห็นสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2