พบผลลัพธ์ทั้งหมด 38 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ต้องไม่เกินกรอบอุทธรณ์ของจำเลย แม้จำเลยจะยอมรับการรุกล้ำ แต่ศาลต้องพิจารณาเหตุสุจริต
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แล้วศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยบุกรุก จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ปลูกสร้างโรงเรือนและรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ ส่วนข้อความในอุทธรณ์ที่จำเลยกล่าวถึงการจัดทำแผนที่วิวาทว่า โรงเรือนและรั้วของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ 4 ตารางวา เป็นกรณีที่จำเลยกล่าวถึงข้อที่ศาลชั้นต้นอ้างไว้ในคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าโรงเรือนและรั้วของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์จริง คดียังคงมีประเด็นว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยปลูกสร้างบ้านและรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินกว่าอุทธรณ์ของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์: ห้ามวินิจฉัยนอกประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าหนี้อันดับ 2 ตามบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 1331 ลูกหนี้ได้กระทำแทน "ฝ่ายยิงปืนสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ลูกหนี้ที่ 2 ไม่ได้กระทำในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า ลูกหนี้ที่ 2 เปิดบัญชีในนามส่วนตัวและเป็นมูลหนี้ที่ลูกหนี้ที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวทั้งสิ้น คดีจึงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์แต่เพียงว่า มูลหนี้อันดับ 2 ลูกหนี้ที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวหรือไม่เท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของเจ้าหนี้ฟังไม่ได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 ยังเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่แต่อย่างใด จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากข้อที่เจ้าหนี้ยกขึ้นอ้างในฟ้องอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ต้องอยู่ภายในประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์เท่านั้น การวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นอุทธรณ์เป็นเหตุให้คำพิพากษาไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าหนี้อันดับ 2 ตามบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 1331 ลูกหนี้ได้กระทำแทน "ฝ่ายยิงปืนสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ลูกหนี้ที่ 2 ไม่ได้กระทำในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า ลูกหนี้ที่ 2 เปิดบัญชีในนามส่วนตัวและเป็นมูลหนี้ที่ลูกหนี้ที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวทั้งสิ้น คดีจึงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์แต่เพียงว่า มูลหนี้อันดับ 2ลูกหนี้ที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวหรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของเจ้าหนี้ฟังไม่ได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 ยังเป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่แต่อย่างใด จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากข้อที่เจ้าหนี้ยกขึ้นอ้างในฟ้องอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3162/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตประเด็นพิพาท: ศาลวินิจฉัยค่าเช่าบริการวิทยุติดตามตัวได้ แม้ประเด็นพิพาทกว้าง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดหรือไม่เป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆเมื่อค่าเสียหายตามคำฟ้องของโจทก์มีทั้ง ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัว อันได้แก่ค่าเช่าใช้บริการที่ค้างชำระเป็นต้น และค่าเสียหายอันเกิดจากการขาดประโยชน์ที่จำเลยไม่ส่งมอบวิทยุติดตามตัวคืนโจทก์จึงไม่สามารถนำออกให้เช่าหาประโยชน์ได้ด้วย ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับค่าเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวจึงไม่นอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยนอกคำฟ้องในคดีทางภารจำยอม การฟ้องซ้ำ และการได้มาซึ่งภารจำยอมโดยอายุความ
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมเพราะไม่เคยมีใครใช้ทางดังกล่าว คำให้การของจำเลยย่อมมีความหมายไปถึงว่าไม่ใช่ทางภารจำยอมแม้แต่วาเดียวหรือศอกเดียวไปด้วย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไปถึงว่าความกว้างยาวของทางภารจำยอมมีขนาดไหน จึงอยู่ในขอบเขตของคำให้การของจำเลยแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยดังกล่าวส่วนหนึ่งมีขนาดกว้าง 2 วา ยาว 10 วา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกของที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะเป็นระยะเวลาติดต่อ กันประมาณ 35 ปีแล้ว โดยสงบ โดยเปิดเผย มีเจตนาให้ได้ทางภารจำยอม เป็นคำบรรยายฟ้องที่ชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความ
คดีก่อนประเด็นพิพาทมีว่า จำเลยสละการครอบครองที่พิพาทแล้วหรือไม่ ทั้งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยยังครอบครองที่พิพาท ไม่ได้สละการครอบครองโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ซึ่งมีประเด็นต่างกันและเหตุที่วินิจฉัยก็ต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ใช้ที่ดินของจำเลยดังกล่าวส่วนหนึ่งมีขนาดกว้าง 2 วา ยาว 10 วา ใช้เป็นทางเดินเข้าออกของที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะเป็นระยะเวลาติดต่อ กันประมาณ 35 ปีแล้ว โดยสงบ โดยเปิดเผย มีเจตนาให้ได้ทางภารจำยอม เป็นคำบรรยายฟ้องที่ชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความ
คดีก่อนประเด็นพิพาทมีว่า จำเลยสละการครอบครองที่พิพาทแล้วหรือไม่ ทั้งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยยังครอบครองที่พิพาท ไม่ได้สละการครอบครองโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ซึ่งมีประเด็นต่างกันและเหตุที่วินิจฉัยก็ต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยฎีกา: ประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดฐาน ร่วมกันผลิตเฮโรอีนและมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าตน มิได้แบ่งบรรจุเฮโรอีนการที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าพยานโจทก์ไม่มีโอกาสมองเห็นการกระทำของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1แบ่งบรรจุเฮโรอีนและจำหน่ายเฮโรอีน จำเลยที่ 1 คงมีความผิดเพียงมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อเสพสถานเดียว จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์และเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตประเด็นข้อพิพาท: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยทางพิพาทเป็นภาระจำยอมได้ แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเป็นทางสาธารณประโยชน์
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่ และจำเลยมีสิทธิปิดกั้นทางพิพาทหรือไม่ การที่ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้น ย่อมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ไม่เป็นการนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมยกให้ที่ดิน และขอบเขตการพิพากษาคดีที่ศาลต้องวินิจฉัยทุกประเด็นข้อพิพาท
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2ให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2ตามเดิมดังนี้เมื่อคำขอส่วนที่ให้พิพากษาให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่2ไม่อาจบังคับได้ก็ชอบที่ศาลจะพิพากษาให้ยกคำขอเฉพาะส่วนนี้ไปคำฟ้องและคำขอส่วนอื่นที่บังคับได้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดเป็นการไม่พิพากษาคดีตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อที่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2586/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นข้อพิพาท และหน้าที่ของตัวแทนในการส่งมอบทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะตัวแทนโจทก์จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์แต่เป็นตัวแทนจำเลยร่วมประเด็นข้อพิพาทมีเพียงว่าโจทก์ตั้งจำเลยเป็นตัวแทนหรือไม่ส่วนที่จำเลยให้การเลยไปถึงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ตั้งจำเลยเป็นตัวแทนนั้นศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเลยไปถึงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นข้อพิพาท จำเลยร่วมซึ่งร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยโดยอ้างเหตุว่ามีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีตามป.วิ.พ.มาตรา57(2)มีฐานะเสมอด้วยจำเลยและมีสิทธิต่อสู้คดีได้เพียงเท่าที่จำเลยมีอยู่เท่านั้นจึงไม่ต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่เพื่อวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3860/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยศาล, การแก้ไขฟ้อง, และคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 มิใช่บทบังคับให้ศาลต้องทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามคำขอของคู่ความทุกเรื่อง ถ้าเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว ไม่เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ขอ หรือคดีจำเป็นต้องดำเนินการพิจารณาต่อไป ก็อาจมีคำสั่งให้รอไว้วินิจฉัยในคำพิพากษาได้
ฟ้องเดิมบรรยายว่า "จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง" ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2 มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฟ้องเดิมบรรยายว่า "จดทะเบียนโอนมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2520 ตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง" ปรากฏว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินวันที่ 2 มิถุนายน 2520 โจทก์จึงขอแก้ไขฟ้องก่อนวันชี้สองสถาน เฉพาะวันที่เป็นวันที่ 2 มิถุนายน 2520 ให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องการขอแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องมิใช่ในสารสำคัญ ศาลมีอำนาจอนุญาตให้แก้ไขได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180
การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้มีการเผชิญสืบสภาพที่พิพาทภายหลังการสืบพยานจำเลยตามคำขอของโจทก์ ซึ่งได้ยื่นภายหลังโจทก์สืบพยานฝ่ายตนเสร็จแล้ว 1 วัน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)
ข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย