คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ขอบเขตฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 43 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3907/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญาและการรับฟังพยานหลักฐานนอกฟ้อง ศาลรับฟังได้เฉพาะการกระทำที่บรรยายไว้ในฟ้องเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ก. ว่า จำเลยบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข และข้อ 1 ข. ว่าหลังจากจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว จำเลยนี้ใช้กำลังประทุษร้าย กอดปล้ำ กระทำอนาจารผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยหลังจากหลบหนีไปแล้วที่กลับมาบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอีก ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ ศาลก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนั้นซึ่งนอกเหนือจากฟ้องของโจทก์มาลงโทษจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5137/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีบุกรุก และอายุความค่าเสียหายจากการละเมิด
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานเศษและจำเลยที่ 2 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวานั้น เป็นแต่เพียงกะประมาณเนื้อที่เอาไว้เพื่อ เสียค่าขึ้นศาลเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 บุกรุกที่ดินของโจทก์รวมเนื้อที่จริง 3 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวาตามแผนที่กลางที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้น ทั้งโจทก์จำเลยก็ทราบดีถึงเขตที่ดินส่วนที่พิพาทกันแล้ว ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ในเนื้อที่บุกรุกจริง จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยรู้ถึงการละเมิดและ รู้ตัวผู้กระทำละเมิดอันพึงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็น เวลานานแล้ว และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ดังนั้น ค่าเสียหายของโจทก์ในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 4 ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญาและการลดโทษจำเลย: หลักการพิจารณาโทษและพยานหลักฐาน
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามที่โจทก์ร่วมฎีกา แม้จะได้ความว่าจำเลยกระทำการโดยมี ลักษณะดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม ศาลก็จะลงโทษจำเลยมิได้เพราะ เป็นเรื่องนอกเหนือไปจากที่โจทก์ฟ้องและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ ประสงค์ให้ลงโทษโจทก์ร่วมจึงฎีกาในข้อดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตฟ้องแย้งในคดีแบ่งแยกที่ดิน: การเรียกร้องสิทธิทางภาระจำยอมไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ครอบครองที่ดินกันมาไม่ตรงตามฟ้อง และยังมีทางเดินจากที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองออกไปสู่คลองสาธารณประโยชน์ซึ่งเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม ใช้เดิน ติดต่อกันมาหลายสิบปีแล้ว ขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนทางภารจำยอม ดังนี้การที่จำเลยจะมีสิทธิเดิน ผ่านที่ดินของโจทก์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการแบ่งแยกที่ดินฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบรรยายฟ้องคดีแพ่ง: ไม่ต้องละเอียดเท่าคดีอาญา เน้นสภาพแห่งข้อหาและคำขอ
การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าฟ้องจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้นหาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง แม้โจทก์ไม่แนบบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้องและมิได้บรรยายโดยละเอียดตั้งแต่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือบัญชีเดินสะพัดว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวัน และทำใบนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันในแต่ละเดือนเท่าใดอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะต้องสืบเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องคำให้การสั่งงดชี้สองสถานแล้ว พิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังนี้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท ตามตาราง1(2)(ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
(โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 1440/2520)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดขอบเขตฟ้องหมิ่นประมาท - การพิสูจน์คำพูดที่จำเลยกล่าวต่อบุคคลที่สามต้องสอดคล้องกับคำฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยให้ข่าวหนังสือพิมพ์หมิ่นประมาทโจทก์ ได้ความว่าจำเลยกล่าวแก่นักข่าวของหนังสือพิมพ์พาดพิงถึงโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกล่าวแก่นักข่าวถึงโจทก์ด้วยถ้อยคำว่าอย่างไร จึงเอาคำที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยกล่าวแก่นักข่าวมาลงโทษจำเลยเกินฟ้องไม่ได้ ข้อความที่หนังสือพิมพ์ลงหมิ่นประมาทโจทก์ตามที่นักข่าวนำไปลงพิมพ์นั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมคบร่วมด้วย ข้อความพาดหัวก็ไม่ใช่ถ้อยคำของจำเลย จำเลยมิใช่ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ ไม่มีความผิดตาม มาตรา 328

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องขับไล่จำกัดเฉพาะพื้นที่ที่เสียค่าขึ้นศาล แม้พิพากษาว่าที่ดินส่วนอื่นเป็นของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินหมาย ค.ในแผนที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลมาเฉพาะที่ดินส่วนนี้เท่านั้น จำเลยได้ฟ้องแย้งว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมดเป็นของจำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็เพียงแต่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นของโจทก์เท่านั้น มิได้เสียค่าขึ้นศาลและขอให้ขับไล่จำเลยในที่ดินนอกจากหมาย ค.ด้วย แม้ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ก็ตามศาลก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้เฉพาะหมาย ค. เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การโดยทนาย แม้ไม่มีลายมือชื่อจำเลย ศาลถือว่าชอบแล้ว และขอบเขตการฟ้องขับไล่ต้องชัดเจน
จำเลยหรือทนายจำเลยไม่ได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การเป็นแต่ทนายจำเลยเซ็นชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ และเซ็นไว้ ว่า รอฟังคำสั่งอยู่ ศาลชั้นต้นตรวจสั่งรับคำให้การไว้แล้ว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งไว้ในคำร้องอีกว่า พอถือได้ว่าทนายจำเลยได้ลงชื่อในคำให้การจำเลยโดยชอบแล้ว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยอาศัยบ้านของโจทก์ แต่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาด้วย โดยมิได้อ้างว่าจำเลยอาศัยที่ดินที่โจทก์เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ ศาลจะบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28-29/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ที่ดินทั้งแปลง: ศาลฎีกาวินิจฉัยราคาทุนทรัพย์และขอบเขตการฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งแปลง แม้ในตอนท้ายจะมีข้อความว่า "ได้พยายามพูดจาให้จำเลยทั้งสองออกไปเสียจากบ้านเลขที่ 5 อันเป็นบริเวณสุสาน" ซึ่งอาจเข้าใจว่า หมายถึงเฉพาะให้จำเลยออกจากศาลาที่อยู่อาศัย แต่ก็ยังมีคำว่า บริเวณสุสาน ติดต่อกันไป อันหมายความได้ว่า ให้จำเลยทั้งสองออกจากบริเวณสุสานนั่นเอง ทั้งในตอนสุดท้ายของคำฟ้องมีข้อความว่า "จำเป็นต้องฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงถ่านออกไปเสียจากบริเวณบ้านเลขที่ 5 ซึ่งเป็นบริเวณของสุสานด้วย" เห็นได้ชัดว่า โจทก์ต้องการขับไล่จำเลยออกจากที่ทั้งแปลงคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านเลขที่ 5 อันเป็นบริเวณสุสาน จึงเป็นการขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่ทั้งแปลง มิใช่เพียงเฉพาะขอให้บังคับจำเลยออกจากศาลา และให้รื้อถอนโรงถ่าน
คดีพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลงซึ่งโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทุนทรัพย์ เป็นการถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตีราคาทรัพย์ที่พิพาท และเรียกค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ฎีกาตามราคาทุนทรัพย์แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลสำหรับศาลชั้นต้นไว้ให้ครบ โดยเรียกไว้เพียง 50 บาท เป็นการคลาดเคลื่อนไปนั้น ทำให้เกิดความผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆ หรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตฟ้องคดีทุจริต-ยักยอกทรัพย์: การเปลี่ยนแปลงจำนวนครั้งกระทำผิด และอำนาจเรียกคืนทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทุจริตปลอมเอกสารและนำออกใช้และเบียดบังยักยอกเงินไป แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าปลอมใช้เอกสารมากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งเกินกว่าที่ระบุในฟ้อง. ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ซึ่งให้พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สิน หรือราคาคืนในคดียักยอกทรัพย์นั้น.หมายรวมทั้งคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ด้วย ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1907/2494.
of 5