พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิทำประโยชน์ในนาเช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา: สิทธิจำกัดเฉพาะส่วนที่ลงมือทำแล้ว
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 38 ที่บัญญัติว่า 'ถ้าการบอกเลิกการเช่านาตามมาตรา 35 มาตรา36 หรือมาตรา 37 มีผลเมื่อผู้เช่านาได้ลงมือทำประโยชน์ในนาแล้ว ให้ผู้เช่านามีสิทธิในนานั้นต่อไปจนกว่าจะเสร็จการเก็บเกี่ยวแล้วแต่ต้องเสียค่าเช่านาตามส่วน' นั้นคำว่า 'ในนา' หมายถึงนาเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้ลงมือทำประโยชน์ไปแล้วเท่านั้น หาได้หมายความรวมถึงส่วนที่ยังมิได้ลงมือทำประโยชน์ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2207/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินในการรื้อถอนสิ่งรุกล้ำ และขอบเขตการใช้สิทธิในที่ดินตามกฎหมาย
จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินย่อมมีสิทธิเหนือพื้นดินโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะสร้างรางน้ำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยและจำเลยมีสิทธิขัดขวางมิให้โจทก์สอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การที่จำเลยรื้อรางน้ำดังกล่าวโดยเชื่อว่าได้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิในที่ดินตามสมควรแก่การสร้างตึกแถวของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1336 ไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2762/2523)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิผู้ร้องสอด และดุลพินิจศาลรวมพิจารณาคดี
ตามคำร้องสอดและคำสั่งของศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยร่วมเข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลยร่วม ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอดดังนั้นเมื่อคดีเดิมมิได้มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านตามฟ้องโดยสุจริตหรือไม่จำเลยร่วมจึงไม่อาจใช้สิทธิตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นใหม่ในคำร้องสอดเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในคดีนี้ได้
การสั่งรวมพิจารณาคดีหลายเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาลถ้าจะต้องเลื่อนการพิจารณาไปทำให้ล่าช้าศาลไม่รวมพิจารณา
การสั่งรวมพิจารณาคดีหลายเรื่องอยู่ในดุลพินิจของศาลถ้าจะต้องเลื่อนการพิจารณาไปทำให้ล่าช้าศาลไม่รวมพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและสิทธิอาศัย: ศาลไม่อาจบังคับสิทธิเกินขอบเขตที่ตกลงกันไว้
เมื่อโจทก์จำเลยได้ประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ถ้าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีเดิม จะนำคดีเรื่องเดียวกันที่ศาลชี้ขาดแล้วมาฟ้องขอให้ศาลบังคับเป็นอีกคดีหนึ่งโดยอ้างเหตุว่าจำเลยขัดขวาง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีเดิม ซึ่งยังมีผลบังคับได้อยู่ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง ส่วนการที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันเองนอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความอีกนั้น เมื่อโจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและผิดข้อตกลงตามสัญญาที่ทำกันเอง เรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิม ศาลย่อมวินิจฉัยให้ในคดีหลังเฉพาะในข้อที่ว่าจำเลยผิดสัญญาที่ทำกันเองหรือไม่ และจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เท่านั้น
โจทก์จดทะเบียนสิทธิอาศัยและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธินั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1406 ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้อาศัยไว้ว่า ถ้าผู้ให้อาศัยมิได้ห้ามไว้โดยชัดแจ้ง ผู้อาศัยจะเก็บดอกผลธรรมดาหรือผลแห่งที่ดินมาใช้เพียงที่จำเป็นแก่ความต้องการของครัวเรือนก็ได้ และมาตรา 1429 บัญญัติว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระติดพันอันเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิ ฯลฯ ได้ใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ ในเรื่องนี้โจทก์ได้จดทะเบียนภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ไว้ว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิต เมื่อโจทก์มิได้ตั้งรูปคดีที่จะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิอาศัยและสิทธิภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติต่าง ๆ ในมาตรา 1409 ศาลก็จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบอาคารในบริเวณที่ดินที่จำลยอาศัยให้แกโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าวหาได้ไม่
โจทก์จดทะเบียนสิทธิอาศัยและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธินั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1406 ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้อาศัยไว้ว่า ถ้าผู้ให้อาศัยมิได้ห้ามไว้โดยชัดแจ้ง ผู้อาศัยจะเก็บดอกผลธรรมดาหรือผลแห่งที่ดินมาใช้เพียงที่จำเป็นแก่ความต้องการของครัวเรือนก็ได้ และมาตรา 1429 บัญญัติว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระติดพันอันเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิ ฯลฯ ได้ใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ ในเรื่องนี้โจทก์ได้จดทะเบียนภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ไว้ว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิต เมื่อโจทก์มิได้ตั้งรูปคดีที่จะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิอาศัยและสิทธิภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติต่าง ๆ ในมาตรา 1409 ศาลก็จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบอาคารในบริเวณที่ดินที่จำลยอาศัยให้แกโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าวหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิเครื่องหมายการค้า: การจดทะเบียนที่มีข้อจำกัดและผลต่อการฟ้องละเมิด
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้เป็นอักษรโรมัน คำว่าTASTE อยู่เหนือรูปปลา ภายในรูปอาร์ม การจดทะเบียนโจทก์ไม่ถือเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTE ทั้งรวมหรือแยกกันแต่ลำพังจากรูปปลา อาร์ม ซึ่งการจดทะเบียนได้ระบุไว้ด้วยว่าไม่ให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTE ทั้งรวมหรือแยกกันตามลำพังจากรูปปลา อาร์ม ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเฉพาะเครื่องหมายการค้าตามที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น กล่าวคือ ต้องเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE อยู่เหนือรูปปลาภายในรูปอาร์ม เครื่องหมายการค้าที่มีแต่เพียงอักษรโรมันอย่างเดียวใช้คำว่า TASTE หรือการใช้อักษรไทยคำว่า เทสท์ จึงไม่เป็นของโจทก์ที่จะมีสิทธิแต่ผู้เดียวตามความหมายของมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 โจทก์จึงนำคดีสู่ศาลเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนนั้นไม่ได้ ตามมาตรา 29
ความตอนท้ายของมาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2504 มาตรา 6 วรรคแรกที่ว่าคำแสดงปฏิเสธอันลงไว้ในทะเบียนนั้นไม่กระทบสิทธิแห่งเจ้าของโดยประการอันมิได้เป็นปัญหา เนื่องแต่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของให้คำแสดงปฏิเสธนั้น หมายถึงสิทธิประการอื่นเช่นสิทธิฟ้องร้องคดีซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ดังมีบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสองเป็นต้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิประการอื่น
เครื่องหมายการค้าโจทก์ใช้ตัวเอนว่า "TASTE" และยังมีอักษรตัวตรงในบรรทัดล่างว่า "Modern from U.S.A." ส่วนเครื่องหมายการค้าจำเลยแม้จะเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE แต่ก็เป็นอักษรตัวตรงและบรรทัดต่อไปใช้อักษรไทยตัวใหญ่กว่าว่า "เทสท์" โดยมีอักษรไทยบรรทัดถัดไปอีกว่า "23 บางลำภู" อันเป็นการแตกต่างกันเห็นได้ชัดแม้แต่ชื่อร้านของจำเลยก็ใช้เป็นภาษาไทยว่า เทสท์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์แต่ประการใด
ความตอนท้ายของมาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2504 มาตรา 6 วรรคแรกที่ว่าคำแสดงปฏิเสธอันลงไว้ในทะเบียนนั้นไม่กระทบสิทธิแห่งเจ้าของโดยประการอันมิได้เป็นปัญหา เนื่องแต่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของให้คำแสดงปฏิเสธนั้น หมายถึงสิทธิประการอื่นเช่นสิทธิฟ้องร้องคดีซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ดังมีบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสองเป็นต้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิประการอื่น
เครื่องหมายการค้าโจทก์ใช้ตัวเอนว่า "TASTE" และยังมีอักษรตัวตรงในบรรทัดล่างว่า "Modern from U.S.A." ส่วนเครื่องหมายการค้าจำเลยแม้จะเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE แต่ก็เป็นอักษรตัวตรงและบรรทัดต่อไปใช้อักษรไทยตัวใหญ่กว่าว่า "เทสท์" โดยมีอักษรไทยบรรทัดถัดไปอีกว่า "23 บางลำภู" อันเป็นการแตกต่างกันเห็นได้ชัดแม้แต่ชื่อร้านของจำเลยก็ใช้เป็นภาษาไทยว่า เทสท์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์แต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิเครื่องหมายการค้า: การจดทะเบียนที่ไม่ผูกขาด + ความแตกต่างของเครื่องหมาย
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จดทะเบียนไว้เป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE อยู่เหนือรูปปลา ภายในรูปอาร์ม การจดทะเบียนโจทก์ไม่ถือเป็นสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTE ทั้งรวมหรือแยกกันแต่ลำพังจากรูปปลา อาร์มซึ่งการจดทะเบียนได้ระบุไว้ด้วยว่า ไม่ให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรโรมันคำว่า TASTEทั้งรวมหรือแยกกันตามลำพังจากรูปปลาอาร์ม ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิเฉพาะเครื่องหมายการค้าตามที่จดทะเบียนไว้เท่านั้นกล่าวคือ ต้องเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE อยู่เหนือรูปปลาภายในรูปอาร์มเครื่องหมายการค้าที่มีแต่เพียงอักษรโรมันอย่างเดียวใช้คำว่า TASTE หรือการใช้อักษรไทยคำว่า เทสท์ จึงไม่เป็นของโจทก์ที่จะมีสิทธิแต่ผู้เดียวตามความหมายของมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 โจทก์จึงนำคดีสู่ศาลเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าที่ ไม่ได้จดทะเบียนนั้นไม่ได้ ตามมาตรา 29
ความตอนท้ายของมาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2504 มาตรา 6 วรรคแรกที่ว่าคำแสดงปฏิเสธอันลงไว้ในทะเบียนนั้นไม่กระทบสิทธิแห่งเจ้าของโดยประการอันมิได้เป็นปัญหาเนื่องแต่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของให้คำแสดงปฏิเสธนั้นหมายถึงสิทธิประการอื่นเช่นสิทธิฟ้องร้องคดีซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ดังมีบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสอง เป็นต้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิประการอื่น
เครื่องหมายการค้าโจทก์ใช้ตัวเอนว่า 'TASTE' และยังมีอักษรตัวตรงในบรรทัดล่างว่า 'MODERNFROMU.S.A.' ส่วนเครื่องหมายการค้าจำเลยแม้จะเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE แต่ก็เป็นอักษรตัวตรงและบรรทัดต่อไปใช้อักษรไทยตัวใหญ่กว่าว่า 'เทสท์' โดยมีอักษรไทยบรรทัดถัดไปอีกว่า'23 บางลำภู' อันเป็นการแตกต่างกันเห็นได้ชัดแม้แต่ชื่อร้านของจำเลยก็ใช้เป็นภาษาไทยว่า เทสท์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์แต่ประการใด
ความตอนท้ายของมาตรา 19 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2504 มาตรา 6 วรรคแรกที่ว่าคำแสดงปฏิเสธอันลงไว้ในทะเบียนนั้นไม่กระทบสิทธิแห่งเจ้าของโดยประการอันมิได้เป็นปัญหาเนื่องแต่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของให้คำแสดงปฏิเสธนั้นหมายถึงสิทธิประการอื่นเช่นสิทธิฟ้องร้องคดีซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ดังมีบัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคสอง เป็นต้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิประการอื่น
เครื่องหมายการค้าโจทก์ใช้ตัวเอนว่า 'TASTE' และยังมีอักษรตัวตรงในบรรทัดล่างว่า 'MODERNFROMU.S.A.' ส่วนเครื่องหมายการค้าจำเลยแม้จะเป็นอักษรโรมันคำว่า TASTE แต่ก็เป็นอักษรตัวตรงและบรรทัดต่อไปใช้อักษรไทยตัวใหญ่กว่าว่า 'เทสท์' โดยมีอักษรไทยบรรทัดถัดไปอีกว่า'23 บางลำภู' อันเป็นการแตกต่างกันเห็นได้ชัดแม้แต่ชื่อร้านของจำเลยก็ใช้เป็นภาษาไทยว่า เทสท์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์แต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์พิพาท: การโต้แย้งสิทธิและการใช้สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องไม่เกินขอบเขต
จำเลยโต้แย้งสิทธิในทรัพย์พิพาทอันเป็นของโจทก์ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์มีอำนาจฟ้องห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในทรัพย์พิพาทนั้นได้
จำเลยให้การลอย ๆ ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่เคลือบคลุมตรงไหน อย่างไรไม่ปรากฏ ไม่แสดงเหตุผลคำให้การจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
จำเลยให้การลอย ๆ ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่เคลือบคลุมตรงไหน อย่างไรไม่ปรากฏ ไม่แสดงเหตุผลคำให้การจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1430/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาเดิม และขอบเขตการฟ้องร้องใหม่ เมื่อสิทธิยังไม่ถูกโต้แย้ง
จำเลยเคยเป็นโจทก์ในคดีก่อนฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยโจทก์ให้การต่อสู้กรรมสิทธิที่ดินที่พิพาท (แต่ไม่ได้ฟ้องแย้ง) ในที่สุดศาลพิพากษาให้ยกฟ้องของจำเลยเสีย โจทก์จะมาฟ้องขอให้แสดงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิในที่รายเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ โจทก์ย่อมอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนนั้น ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดให้ได้ ยังไม่มีเหตุขัดข้องหรือโต้แย้งสิทธิ ซึ่งจะต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8366/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิลิขสิทธิ์: การผลิตวีซีดีคาราโอเกะไม่ใช่การทำซ้ำงานที่ได้รับอนุญาต
โจทก์ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิที่จะนำลิขสิทธิ์สิ่งบันทึกเสียงเพลง "โปรดเถิดดวงใจ" "ปรารถนา" และ "ในฝัน" ไปผลิตเป็นเทปคาสเซ็ท แผ่นเสียง และแผ่นซีดีเพลงทุกขนาดเท่านั้น โจทก์ไม่ได้มีสิทธิที่จะนำเพลงพิพาทไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ รวมถึงการทำวีซีดีคาราโอเกะ เพราะการทำวีซีดีคาราโอเกะไม่ใช่การทำซีดีเพลง โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามความผิดที่อ้างเป็นคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 309/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากประกันภัยรถยนต์: การไล่เบี้ยจากผู้กระทำละเมิด และขอบเขตการสละสิทธิ
สัญญาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของสมาคมประกันวินาศภัย มีวัตถุประสงค์จำกัดขอบเขตการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกันในระหว่างผู้เข้าร่วมสัญญา ผู้เอาประกันภัย และบุคคลซึ่งต้องรับผิดต่อเหตุละเมิดเพียงเท่าจำนวนเงินเอาประกันภัยคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยของผู้ร่วมสัญญาฝ่ายที่ต้อง รับผิดเท่านั้น หาใช่สละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดไม่ โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิดในค่าเสียหายส่วนเกินจากที่สละสิทธิเรียกร้องตามสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 880