พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7409/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้ออ้างเรื่องที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินในชั้นฎีกาที่ไม่ชอบตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5400/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การนำสืบพยานในคดีที่พิพาทเรื่องการครอบครองที่ดิน: ผู้ฟ้องต้องพิสูจน์ข้ออ้างของตนเอง
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าโจทก์มอบที่ดินให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้ว ถือว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธโดยมิได้ตั้งประเด็นขึ้นมาใหม่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลยทั้งสองแล้วนั้นเป็นเพียงเหตุผลของการปฏิเสธ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองทำกินต่างดอกเบี้ย ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าลายมือผู้ขายในสัญญาขายที่พิพาทเป็นของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบทรัพย์สินหลังคำพิพากษา: ข้ออ้างการปฏิบัติตามคำพิพากษาและการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
จำเลยฎีกาอ้างว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทแล้วส่งคืนโจทก์แต่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ยอมรับคืน เพราะประสงค์จะได้ค่าเสียหายจากจำเลยอีกต่อไปนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะส่งมอบห้องพิพาทคืนโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2065/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบเมื่ออ้างนิติกรรมอำพราง: จำเลยต้องพิสูจน์ข้ออ้าง หากศาลเชื่อว่ากู้ยืมเงินจริง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสือ จำเลยให้การว่าหลักฐานการกู้ยืมที่ทำ ขึ้นนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางในการที่สามีโจทก์มอบเงินให้ จำเลยไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาหญิงส่งไปเป็นนางบำเรอพวก เศรษฐีในฮ่องกง เป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่มีมูลหนี้ ต่อกัน โจทก์ไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยได้ ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปตามฟ้องแล้ว แต่จำเลยกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าเป็นเงินที่สามีโจทก์มอบให้จำเลย เพื่อให้กระทำการในสิ่งที่ขัดขวางต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆเพื่อสนับสนุนคำให้การของ ตน หน้าที่นำสืบย่อมตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: เมื่อคู่ความเดิมฟ้องร้องเรื่องมรดกซ้ำ โดยมีข้ออ้างใหม่แต่มีอยู่ก่อนแล้ว
คดีนี้กับคดีก่อนมีคู่ความเดียวกัน มรดกที่พิพาทรายเดียวกัน คดีมีประเด็นอย่างเดียวกันว่าในระหว่างโจทก์กับจำเลยใครมีสิทธิรับมรดกคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยศาลวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับที่นำมาฟ้องในคดีก่อนสมบูรณ์โจทก์คดีก่อนมีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมแต่ผู้เดียวโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนกลับนำมาฟ้องโจทก์คดีก่อนเป็นจำเลยคดีนี้เรียกเอามรดกรายเดียวกันอีกโดยอ้างพินัยกรรมฉบับใหม่ดังนี้แม้เหตุที่อ้างในคดีนี้จะต่างกับคดีก่อนโดยอ้างว่ามีพินัยกรรมฉบับใหม่ก็ตามแต่พินัยกรรมฉบับหลังนี้ก็มีอยู่แล้วก่อนพิพาทกันในคดีก่อนโจทก์คดีนี้ชอบที่จะยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีก่อนได้ แต่ก็หาได้ยกขึ้นต่อสู้ไม่เมื่อแพ้คดีแล้วจะกลับมาอ้างเหตุที่ตนมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคดีก่อนมารื้อร้องฟ้องกันอีกฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งในคำร้องขอแก้ไขคำให้การ: การเปลี่ยนแปลงข้ออ้างเพื่อหักล้างข้อหาของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม หรือจะฟ้องแย้งมาในคำร้องขอแก้คำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3) ก็ได้
จำเลยฟ้องแย้งมาในคำร้องขอแก้ไขคำให้การระบุข้อต่อสู้ขึ้นใหม่โดยให้รายละเอียดว่า โจทก์ทำผิดสัญญาอะไรบ้างทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร คิดเป็นจำนวน ค่าเสียหายเท่าใด เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้างเพื่อหักล้างข้อหาของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3) จึงเป็นฟ้องแย้งในคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นไว้แล้วชอบที่จะรับคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเป็นฟ้องแย้งไว้ได้ (วินิจฉัยโดยการประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2524)
จำเลยฟ้องแย้งมาในคำร้องขอแก้ไขคำให้การระบุข้อต่อสู้ขึ้นใหม่โดยให้รายละเอียดว่า โจทก์ทำผิดสัญญาอะไรบ้างทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร คิดเป็นจำนวน ค่าเสียหายเท่าใด เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้างเพื่อหักล้างข้อหาของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(3) จึงเป็นฟ้องแย้งในคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นไว้แล้วชอบที่จะรับคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเป็นฟ้องแย้งไว้ได้ (วินิจฉัยโดยการประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2524)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีละเมิด: ความเพียงพอของข้ออ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้น ต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 สำหรับคดีแพ่ง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอย่างไร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถยนต์ของผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ล.บ.03951 ของจำเลยที่ 3 กับ ย. ลูกจ้างขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 ของจำเลยที่ 1, 2 เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวชนกัน และเนื่องจากการชนกันนี้เป็นเหตุให้ถังบรรจุขวดเบียร์และโซดาซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 หล่นลงบนรถยนต์คันที่โจทก์ขับและเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถยนต์ของผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ล.บ.03951 ของจำเลยที่ 3 กับ ย. ลูกจ้างขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 ของจำเลยที่ 1, 2 เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวชนกัน และเนื่องจากการชนกันนี้เป็นเหตุให้ถังบรรจุขวดเบียร์และโซดาซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 หล่นลงบนรถยนต์คันที่โจทก์ขับและเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การปฏิเสธฟ้องและการต่อสู้คดีที่มีประเด็นเคลือบคลุม ศาลต้องพิจารณาให้โจทก์นำสืบพิสูจน์ตามข้ออ้าง
จำเลยให้การว่า นอกจากที่จำเลยให้การไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และมีข้อความในคำให้การต่อไปว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงิน ถือว่าจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสิ้น
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุม ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุม ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354-355/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแถลงรับข้อเท็จจริงในชั้นศาลมีผลผูกพัน ห้ามเปลี่ยนแปลงข้ออ้างภายหลัง
ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2509 ปรากฏว่าผู้ร้องทั้ง 10 แถลงรับว่าได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง 10 ออกไปภายใน 2 เดือนนับแต่วันนั้น (อันเป็นมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมา) นับจากนั้นมาภายในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ร้องทั้ง 10 หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่ คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุด แม้ผู้ร้องทั้ง 10 จะได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2509 ในเวลาภายหลังต่อมาอ้างว่ามิใช่บริวารจำเลย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ซึ่งเป็นข้ออ้างอย่างอื่นขึ้นมาใหม่อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้ศาลจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้นแสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้นแสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354-355/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลมีผลผูกพัน ห้ามเปลี่ยนเเปลงข้ออ้างภายหลัง
ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2509 ปรากฏว่าผู้ร้องทั้ง 10 แถลงรับว่าได้เช่าบ้านจำเลยอยู่.ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง 10 ออกไปภายใน 2เดือนนับแต่วันนั้น (อันเป็นมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมา). นับจากนั้นมาภายในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ร้องทั้ง 10 หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใด.ไม่. คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุด แม้ผู้ร้องทั้ง 10 จะได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2509 ในเวลาภายหลังต่อมา อ้างว่ามิใช่บริวารจำเลย. ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ซึ่งเป็นข้ออ้างอย่างอื่นขึ้นมาใหม่. อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่.ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้. ศาลจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่.
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้น. แสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง.
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้น. แสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง.