คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีภาษีอากร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 42 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์คดีภาษีอากร: ศาลต้องพิจารณาความจำเป็นและประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นพิเศษ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 19 ประกอบด้วยมาตรา 24ศาลภาษีอากรย่อมมีอำนาจขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สำนวนคดีนี้มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายและสลับซับซ้อนเป็นพิเศษและจำเลยยังมีเวลา 15 วัน กว่าจะครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ทั้งคดีนี้จำเลยไม่สืบพยานจึงไม่มีเอกสารจำนวนมากจนถึงกับจะเป็นเหตุให้ทนายจำเลยตรวจและทำคำฟ้องอุทธรณ์ไม่ทันภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลภาษีอากรจะมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะยื่นอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2884/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยปิดหมายและการนับระยะเวลาในการยื่นคำให้การในคดีภาษีอากร
คำสั่งของศาลภาษีอากรที่สั่งในคำฟ้องของโจทก์ในต้อนต้นที่ว่า "รับคำฟ้อง หมายส่งสำเนาให้จำเลย ให้โจทก์นำส่งภายใน7 วัน" เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรสั่งว่าในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยให้ส่งโดยวิธีธรรมดาก่อน ส่วนคำสั่งศาลภาษีอากรที่สั่งต่อไปว่า "เนื่องจากจำเลยเป็นหน่วยราชการมีภูมิลำเนาแน่นอนการส่งหากไม่มีผู้รับให้ปิด" นั้น เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรได้สั่งไว้เป็นการล่วงหน้าว่า หากส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธีธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้ ก็ให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคแรก โดยการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ณ สถานที่ทำการของจำเลย เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยแล้ว เจ้าหน้าที่งานสารบรรณของจำเลยไม่เต็มใจรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ เท่ากับว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาไม่อาจทำได้ เจ้าพนักงานศาลจึงปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ สถานที่ทำการของจำเลย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 ดังนี้ จึงเป็นการส่งโดยวิธีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคแรก มิได้เป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตามข้อความในคำสั่งศาล ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 เมื่อศาลภาษีอากรมิได้กำหนดระยะเวลาการปิดหมายไว้ว่าจะให้มี ผลใช้ได้เมื่อใด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสองการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยการปิดหมายในคดีนี้ จึงมี ผลใช้ได้เมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่ วันปิดหมาย คือมีผลเมื่อพ้นวันที่ 9 ธันวาคม 2540 จำเลย ยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2540 จึงเป็นการยื่น คำให้การภายในกำหนดแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7819/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีภาษีอากร และเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 17 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติและข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 85 เมื่อโจทก์ได้ยื่นพยานหลักฐานถูกต้องตามข้อกำหนดภาษีอากรในชั้นพิจารณาแล้ว ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นศาลโดยไม่ผ่านขั้นตอนของการตรวจสอบการประเมินและการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบการวินิจฉัยคดีได้
โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้า (ปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากเจ้าพนักงานประเมิน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528 และ 2529ปรากฏว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีทั้งเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าแสดงยอดรายรับไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนและมีรายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ทวิ(2) และ65 ตรี(3) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ โจทก์บันทึกบัญชีมียอดขายไม่ลงบัญชีและยอดรายรับขาดบัญชีเป็นจำนวนไม่น้อยโดยที่มีพยานหลักฐานตรวจสอบได้แน่ชัด อันเป็นพฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้โจทก์ คงเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 50ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว ไม่มีเหตุอันควรที่จะลดเบี้ยปรับให้ได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9240/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีภาษีอากร – การชี้ขาดอำนาจโดยประธานศาลฎีกา
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานประเมินและเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์คำร้องภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยทั้งสองประเมินให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินเกินความเป็นจริงโดยโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่สั่งให้โจทก์ชำระภาษีอากรและเงินเพิ่ม กับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีอากรพร้อมดอกเบี้ยแต่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วให้ยกฟ้องเสียตาม ป.วิ.พ. จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่น แต่ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา10 บัญญัติให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาด ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่ คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายข้างต้น และเมื่อปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรหรือศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรส่งสำนวนคดีนี้ไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามบทกฎหมายดังกล่าวต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9240/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่น ประธานศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาด
ปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่นนั้นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 10 กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาดศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหามีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไม่ และปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรหรือศาลฎีกา เมื่อขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3150/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้จำเลยขาดนัด ศาลยังยกฟ้องได้หากพยานโจทก์ไม่เพียงพอ และมีข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีภาษีอากร
แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาก็ตาม ศาลจะพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีก็ต่อเมื่อศาลเห็นว่าข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่เพียงพอรับฟังตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ศาลย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 205 วรรค 1 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธี-พิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17
ตามใบขนสินค้าขาเข้าและบัญชีราคาสินค้า ปรากฏว่ามีการระบุรายการและราคาสินค้าแตกต่างกัน ซึ่งศาลก็วินิจฉัยจากพยานเอกสารดังกล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะหลีกเลี่ยงภาษีโดยระบุรายการและราคาสินค้าแตกต่างกันอันเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล และเป็นการวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้นเอง หาได้เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากข้อเท็จจริงในสำนวนอันจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ.2528 มาตรา 25

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4766/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้าในคดีภาษีอากร แม้ศาลเลื่อนชี้สองสถาน ก็ยังต้องยึดกำหนดเวลาเดิม
โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลภาษีอากรกลางก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน แต่ได้ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลสั่งว่ารอไว้สั่งวันนัดชี้สองสถานครั้นถึงวันนัดชี้สองสถานศาลสอบจำเลยแล้ว จำเลยคัดค้านศาลจึงนัดไต่สวนคำร้องของ โจทก์ โดยเลื่อนการชี้สองสถานในวันดังกล่าวไป เพื่อทำการไต่สวนคำร้องก่อน การที่ไม่ได้มีการชี้สองสถานจริง ๆ จึงเกิดจากเหตุที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลา กรณีเช่นนี้จะถือเอาการชี้สองสถานจริง ๆ เป็นหลักในการนับระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยานตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคหนึ่งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลภาษีอากร: คดีพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สิน ไม่ใช่คดีภาษีอากร
การที่โจทก์ฟ้องอธิบดีกรมสรรพากรให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 โดยอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของโจทก์มิใช่ของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรนั้น มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6467/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีภาษีอากร: การใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2-10 ไม่เป็นคดีภาษีอากรโดยตรง
การที่กรมสรรพากร โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ฟ้องจำเลยที่ 2-10 ที่ยังชำระค่าหุ้นไม่ครบจำนวนมูลค่าหุ้นให้ร่วมรับผิดชำระค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระอยู่แก่โจทก์นั้นมิใช่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7(2) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2-10 ต่อศาลภาษีอากรกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6049/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุพยานเพิ่มเติมในคดีภาษีอากร ศาลมีอำนาจอนุญาตหากมีเหตุผลสมควร และการพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกินคำขอไม่ได้
โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วันซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร รวม 30 อันดับ แต่ก่อนเริ่มสืบพยาน โจทก์ขออนุญาตระบุพยานเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง โดยอ้างว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน คดีนี้มีเอกสารที่โจทก์ต้องอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เป็นการยากที่จะทราบและอ้างอิงเอกสารได้ทั้งหมดในคราวเดียวกันเมื่อโจทก์ได้ระบุพยานอ้างเอกสารครั้งแรก รวม 18 อันดับไว้แล้ว การที่โจทก์มาขอระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง อ้างพยานเอกสารเพิ่มเติมอีกรวม 8 อันดับ ถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคท้าย แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับเลขที่ 317 ง./2531/1 แต่คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการประเมินภาษีการค้าของบริษัท ส. เดือนมกราคม-ธันวาคม 2527 ซึ่งโจทก์ได้บรรยายในคำฟ้องข้อที่ 2 แล้วว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม 6 ฉบับ รวมทั้งการประเมินภาษีการค้าระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2527 ไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินตามแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าทั้ง 6 ฉบับดังกล่าว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้แนบสำเนาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้ง 6 ฉบับ มาท้ายฟ้องด้วย ส่วนคำขอท้ายฟ้องก็ได้ขอให้ศาลพิพากษายกเลิกเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3,4 และ 5 รวม 6 ฉบับก็ย่อมเป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ได้ขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวด้วย ดังนี้ศาลภาษีอากรกลางจึงมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวนี้ได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในฟ้อง.
of 5