พบผลลัพธ์ทั้งหมด 31 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อนไม่ผูกมัดคดีหลัง ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีปัจจุบันเป็นสำคัญ
ในคดีก่อน จำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืมโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้ คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญจะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้นศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพของจำเลยที่ศาลใช้พิจารณาบวกโทษคดีก่อนเข้ากับคดีหลังได้ หากเนื้อหาการรับสารภาพสอดคล้องกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยหลายข้อหา กับขอให้นำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ด้วยจำเลยรับสารภาพ เฉพาะข้อเคยต้องโทษนั้น จำเลยรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริง ที่จำเลยรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้องจริงนั้น หมายความว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษและรอไว้ตามฟ้องนั่นเอง ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องแล้ว ศาลจึงบวกโทษของจำเลยที่รอไว้เข้ากับโทษในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินแปลงเดียวกัน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อนมีผลผูกพันคดีหลัง แม้ผู้ซื้อจะมิได้เป็นคู่ความเดิม
ที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินซึ่งโจทก์แพ้คดีจำเลยร่วมมาแล้ว แม้จำเลยในคดีนี้จะเป็นบุคคลนอกสัญญาซื้อขาย แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นสามีผู้ซื้อ ผลของการที่ผู้ซื้อได้สิทธิในที่ดินแปลงนี้ย่อมทำให้จำเลยได้รับในฐานะสามีผู้ซื้อเป็นเจ้าของร่วมด้วย เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกัน เท่ากับเป็นการรบกวนสิทธิอย่างหนึ่ง จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านประการใด กรณีทำให้มีผลเกิดขึ้นว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดชอบผูกพันในผลแห่งคดีนี้ด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้นจำเลยร่วมจึงชอบที่จะอ้างสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นข้อต่อสู้โจทก์คดีนี้ได้ ไม่เป็นขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อแล้วต่างไม่ขอสืบพยาน โดยจำเลยอ้างสำนวนคดีแพ่งคดีก่อนประกอบ ดังนั้น การฟังข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิในที่พิพาทก็ต้องฟังตามข้อวินิจฉัยในำสำนวนคดีก่อนเป็นหลักการพิจารณาคดี เมื่อคดีก่อนศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทไม่ใช่ทีที่ ค. ครอบครองทำประโยชน์แล้วจำเลยร่วม (ซึ่งต่อมาขายที่พิพาทให้ภริยาจำเลย) เข้าขับจองทับเอา คดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้ ในการวินิจฉัยคดีนี้ก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดมาแล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลย
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อแล้วต่างไม่ขอสืบพยาน โดยจำเลยอ้างสำนวนคดีแพ่งคดีก่อนประกอบ ดังนั้น การฟังข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิในที่พิพาทก็ต้องฟังตามข้อวินิจฉัยในำสำนวนคดีก่อนเป็นหลักการพิจารณาคดี เมื่อคดีก่อนศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทไม่ใช่ทีที่ ค. ครอบครองทำประโยชน์แล้วจำเลยร่วม (ซึ่งต่อมาขายที่พิพาทให้ภริยาจำเลย) เข้าขับจองทับเอา คดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้ ในการวินิจฉัยคดีนี้ก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดมาแล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงในคดีก่อนผูกพันคดีหลัง-งดสืบพยาน-ค่าขึ้นศาล
ข้อเท็จจริงในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากันมาแล้วจนถึงที่สุดในชั้นฎีกา ย่อมผูกพันคู่กรณีในคดีหลังซึ่งเคยเป็นคู่ความกันมาในคดีก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางพิพาท จำเลยให้การรับว่าปิดจริง แต่ปิดกั้นคูหรือลำรางในที่ดินของจำเลย ดังนี้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องสืบในข้อที่ว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางหรือไม่
ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานเท่านั้น ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี จึงเท่ากับจำเลยขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ให้งดสืบพยานดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ ดังนั้น ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยจึงควรเสียเพียงศาลละ 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(อ้างฎีกาที่ 1689/2497)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางพิพาท จำเลยให้การรับว่าปิดจริง แต่ปิดกั้นคูหรือลำรางในที่ดินของจำเลย ดังนี้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องสืบในข้อที่ว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางหรือไม่
ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานเท่านั้น ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี จึงเท่ากับจำเลยขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ให้งดสืบพยานดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ ดังนั้น ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยจึงควรเสียเพียงศาลละ 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(อ้างฎีกาที่ 1689/2497)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับในคดีก่อนไม่ผูกพันผู้กล่าวในคดีหลัง ศาลต้องวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงปัจจุบัน
คำรับของคู่ความในคดีหนึ่งใช้ปิดปากผู้กล่าวในการพิจารณาคดีอีกคดีหนึ่งไม่ได้ เพราะคำรับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังได้ โดยเด็ดขาด เป็นแต่เพียงพยานหลักฐานอันหนึ่งซึ่งใช้ยันผู้กล่าวเท่านั้น ผู้กล่าวจึงนำสืบหักล้างได้ ในการพิจารณาคดีหลัง ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าความจริงเป็นอย่างไร จะถือว่าคำรับของคู่ความในคดีก่อนผูกมัดผู้กล่าวโดยสืบหลักล้างไม่ได้เลยนั้น หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับในคดีก่อนไม่ผูกมัดคู่ความในคดีหลัง ศาลต้องวินิจฉัยตามความจริงเป็นธรรม
คำรับของคู่ความในคดีหนึ่งใช้ปิดปากผู้กล่าวในการพิจารณาคดีอีกคดีหนึ่งไม่ได้ เพราะคำรับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังได้โดยเด็ดขาด เป็นแต่เพียงพยานหลักฐานอันหนึ่งซึ่งใช้ยันผู้กล่าวเท่านั้น ผู้กล่าวจึงนำสืบหักล้างได้ ในการพิจารณาคดีหลังศาลจะต้องวินิจฉัยว่าความจริงเป็นอย่างไร จะถือว่าคำรับของคู่ความในคดีก่อนผูกมัดผู้กล่าวโดยสืบหักล้างไม่ได้เลยนั้น หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อ: ต้องมีคำพิพากษาลงโทษในคดีก่อนแล้ว จึงจะนับโทษต่อได้
การขอนับโทษต่อ
หลักในเรื่องการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฎว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อน แล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ เมื่อสำนวนคดีเรื่องก่อนยังไม่ปรากฎว่าได้พิพากษา(ยังเป็นคดีดำอยู่) จึงไม่มีโทษอันใดที่ศาลจะไปนับต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าคดีเรื่องก่อนนั้น ในเวลาต่อมา ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วแต่ในสำนวนคดีเรื่องหลังก็ไม่ปรากฎว่าสำนวนคดีเรื่องก่อนได้พิพากษาลงโทษไปแล้วก่อนคดีเรื่องหลัง จึงนับโทษคดีเรื่องหลังต่อจากโทษในคดีเรื่องก่อนนั้นไม่ได้
หลักในเรื่องการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใด จะต้องปรากฎว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อน แล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนเรื่องก่อนได้ เมื่อสำนวนคดีเรื่องก่อนยังไม่ปรากฎว่าได้พิพากษา(ยังเป็นคดีดำอยู่) จึงไม่มีโทษอันใดที่ศาลจะไปนับต่อให้ได้ แม้จะเป็นความจริงตามข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าคดีเรื่องก่อนนั้น ในเวลาต่อมา ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วแต่ในสำนวนคดีเรื่องหลังก็ไม่ปรากฎว่าสำนวนคดีเรื่องก่อนได้พิพากษาลงโทษไปแล้วก่อนคดีเรื่องหลัง จึงนับโทษคดีเรื่องหลังต่อจากโทษในคดีเรื่องก่อนนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 622/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อเมื่อจำเลยต้องโทษในคดีอื่นอยู่ก่อนแล้ว แม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด
การนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากคดีที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อนนั้น คดีใดเกิดก่อนคดีใดเกิดหลัง ก็ดี คดียังไม่ถึงที่สุด ก็ดี ย่อมไม่ขัดข้องในการที่ให้นับโทษต่อเมื่อขณะศาลพิพากษาคดี ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษอยู่แล้ว ศาลก็ชอบที่จะให้นับโทษต่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1859/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษคดีหลังเมื่อมีโทษคดีก่อนรอการลงอาญา: มาตรา 72 และ 42 แก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา(ฉบับที่ 14)2494ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า "ให้....บวกโทษที่รอการลงอาญาไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง" นั้น ความตอนนี้ย่อมมีความมุ่งหมายเช่นเดียวกับมาตรา 42 ของเดิมนั้นเอง คือให้ลงโทษที่รอการลงอาญาไว้ในคดีก่อนเป็นโสดหนึ่งต่างหากจากโทษที่จำเลยจะต้องรับสำหรับความผิดครั้งหลัง
แต่ในเรื่องเพิ่มโทษตามมาตรา 72 นั้น ในกรณีรอการลงอาญา มาตรา 42 ที่แก้ไขใหม่ หาได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เพิ่มโทษได้ดุจมาตรา 42 ของเดิมไม่ฉะนั้นเมื่อโทษในคดีเดิมถูกรอการลงอาญาไว้ จำเลยจึงหาได้ถูกจำคุกและพ้นโทษจำคุกในคดีก่อนแล้วมากระทำผิดในคดีใหม่นี้อีกไม่ จึงจะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 72 ไม่ได้
แต่ในเรื่องเพิ่มโทษตามมาตรา 72 นั้น ในกรณีรอการลงอาญา มาตรา 42 ที่แก้ไขใหม่ หาได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เพิ่มโทษได้ดุจมาตรา 42 ของเดิมไม่ฉะนั้นเมื่อโทษในคดีเดิมถูกรอการลงอาญาไว้ จำเลยจึงหาได้ถูกจำคุกและพ้นโทษจำคุกในคดีก่อนแล้วมากระทำผิดในคดีใหม่นี้อีกไม่ จึงจะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 72 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: คดีก่อนผูกพันคดีหลังไม่ได้ หากคู่ความและประเด็นข้อพิพาทเปลี่ยนแปลง
ผู้มีชื่อในโฉนดร่วมกับผู้อื่นฟ้องขอแบ่งที่ดินเฉพาะส่วนของตนจากผู้ที่ยึดถือครอบครองที่ดิน ผู้ครอบครองที่ดินต่อสู้ว่า ผู้มีชื่อในโฉนดคนอื่นเอาที่ดินนี้ตีใช้หนี้ตน ทางพิจารณาศาลฟังว่าไม่มีการตีใช้หนี้ แต่เห็นว่า การที่จะฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์นั้นย่อมแบ่งให้ไม่ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง ภายหลังผู้ครอบครองที่ดินเป็นโจทก์ฟ้องทายาทผู้มีชื่อในโฉนดคนหนึ่งขอให้ศาลแสดงว่า ที่พิพาทนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองที่ดิน ทายาทผู้เป็นจำเลยต่อสู้ว่า ผู้ครอบครองที่ดินไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องอีกเพราะเคยฟ้องกันมาแล้วและในคดีหลังนี้ ผู้มีชื่อในโฉนดที่เคยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ครอบครองก็ได้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จนศาลอนุญาตแล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็เห็นว่าจะเอาข้อเท็จจริงในคดีก่อนมารับฟังเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ได้ เพราะโจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่กรณีคนใหม่ และในคดีก่อนศาลยกฟ้องเพราะเห็นว่า การฟ้องขอแบ่งเฉพาะส่วนของตน ย่อมแบ่งให้ไม่ได้ เป็นประเด็นสำคัญ การที่ผู้ครอบครองที่ดินมาฟ้องอ้างสิทธิในที่ดินนี้ทั้งแปลงประเด็นก็ไม่เหมือนกับคดีก่อนซึ่งพิพาทกันเฉพาะที่ดินส่วนของผู้มีชื่อในโฉนดผู้เป็นโจทก์ฟ้องเท่านั้น จึงจะยกเอาสำนวนก่อนมาผูกพันบังคับคู่ความคดีนี้ใหม่หาได้ไม่ชอบที่ศาลจะสืบพยานฟังข้อเท็จจริงในสำนวนหลังนี้ต่อไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2493)