พบผลลัพธ์ทั้งหมด 92 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงาน: คำวินิจฉัยอธิบดีผู้พิพากษาผูกพันเฉพาะคดีที่วินิจฉัย ไม่ผูกพันคดีอื่น
กรณีที่มีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจศาลแรงงานหรือไม่นั้นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าอย่างไรคำวินิจฉัยย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา9วรรคสองและย่อมผูกพันคู่ความเฉพาะในคดีที่ได้มีการวินิจฉัยเท่านั้นหาผูกพันคู่ความที่พิพาทกันในคดีอื่นไม่ดังนั้นแม้จะได้ความว่าคู่ความในคดีนี้กับคดีก่อนของศาลแรงงานกลางเป็นคู่ความเดียวกันและมูลคดีเป็นอย่างเดียวกันก็ตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางในคดีก่อนที่ว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานจึงไม่มีผลถึงคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้าม: คำฟ้องบังคับจำนองซ้ำกับคำร้องขอในคดีอื่น
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอต่อศาลในคดีแพ่งเรื่องอื่นให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ย่อมเป็นคำฟ้องที่ขอให้บังคับจำนองโดยอาศัยบุริมสิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองด้วยวิธีการเป็นพิเศษตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 289ดังนั้น คู่ความในคดีดังกล่าวกับคดีนี้จึงเป็นคู่ความรายเดียวกัน และเมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้นถึงที่สุดแล้วและมูลหนี้กับหลักประกันคือสัญญาจำนองที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ก็เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำร้องขอของโจทก์ในคดีดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อต่อสู้เรื่องการรับผิดชอบในคดีอื่น
การที่จำเลยที่ 5 ต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 5รับผิดเป็นคดีอื่นซึ่งมีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดแล้วจำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดในคดีนี้อีกนั้น จำเลยที่ 5 ต้องมีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 มิใช่เพียงให้การไว้ลอย ๆ โดยไม่สืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ในคดีอื่นไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องที่1ที่2และที่3มิใช่เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายคดีนี้แต่เป็นเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกคดีหนึ่งที่จำเลยผู้ล้มละลายในคดีดังกล่าวเป็นเจ้าหนี้จำเลยในคดีนี้แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยในคดีดังกล่าวได้ขอรับชำระหนี้ในคดีนี้และศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้แล้วก็ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องที่1ที่2ที่3มีส่วนได้เสียในการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทของผู้คัดค้านที่1ในคดีนี้จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวได้และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5024/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดี: คำร้องต้องยื่นต่อศาลเจ้าของคดีบังคับคดี ไม่ใช่ศาลคดีอื่น
คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่มีการบังคับคดีที่โจทก์จะมาขอต่อศาลให้งดการบังคับคดีไว้ได้
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลคดีนี้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอื่นของศาลชั้นต้นไว้ก่อนจนกว่าคดีนี้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น มิใช่คำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 264 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 254 (2) โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลในคดีนั้น
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลคดีนี้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอื่นของศาลชั้นต้นไว้ก่อนจนกว่าคดีนี้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น มิใช่คำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 264 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 254 (2) โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลในคดีนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนเป็นอันตรายสาหัส และการนับโทษต่อจากคดีอื่น
จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย 2 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและแขนซ้าย แพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายด้วยวิธีฉายเอกซเรย์พบว่ากระดูกปลายแขนซ้ายหักและมีความเห็นว่าต้องใช้เวลารักษา 6 สัปดาห์ ผู้บังคับบัญชาของผู้เสียหายได้อนุญาตให้ผู้เสียหายลาป่วยจนกว่าจะหายเป็นปกติจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) คดีนี้โจทก์ได้มีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 893/2534 และหมายเลขดำที่57/2535 ของศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่ศาลชั้นต้นนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้ เพราะคดีดังกล่าวนั้นศาลยังมิได้มีคำพิพากษา โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาทั้งสองสำนวนดังกล่าว โดยอ้างว่าคดีทั้งสองสำนวนนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่637/2536 และหมายเลขแดงที่ 1079/2535 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับจำเลยมิได้แก้ฎีกาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความในการฟ้องขับไล่: ศาลไม่อาจบังคับคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอื่น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่ามาวางศาลในเดือนใด จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าว และบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันทีก็ตามแต่เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้ถือเอาคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งมาเป็นข้อแพ้ชนะกัน และเมื่อคดีที่คู่ความท้ากันยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จำเลยจะผิดนัดโจทก์จะมาขอให้ศาลออกคำบังคับในคดีนี้หาได้ไม่ เพราะหากจำเลยต้องถูกบังคับให้ออกจากอาคารและที่ดินพิพาทกับต้องชดใช้ ค่าเสียหายให้โจทก์ ก็มีผลเท่ากับโจทก์ชนะคดีในประเด็นที่พิพาทกันนั่นเอง ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณาโจทก์จึงนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารในสำนวนคดีอื่น: ผู้คัดค้านไม่ต้องส่งสำเนาให้คู่ความก่อนสืบพยาน หากตรวจตราได้ง่าย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ส่งสำเนาหนังสือบอกกล่าวของลูกหนี้ให้ ด.ชำระหนี้และคำให้การของด. ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยาน 3 วัน แต่เอกสารทั้งสองฉบับอยู่ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถือได้ว่าเป็นเอกสารในสำนวนคดีเรื่องอื่นตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1) ยกตัวอย่างไว้โดยเฉพาะผู้ร้องทั้งสี่เป็นลูกหนี้ร่วมกับ ด. สามารถตรวจตราให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และความแท้จริงของเอกสาร ผู้คัดค้านจึงอ้างเอกสารทั้งสองฉบับเป็นพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2844/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามรับของโจร: รถจักรยานยนต์ที่ถูกยึดจากคดีอื่น ไม่ถือเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด
การที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันที่คนร้ายลักไปจากผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุเป็นของกลาง เนื่องจากคนร้ายขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปชนคนได้รับบาดเจ็บแล้วทิ้งรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไว้ตรงจุดชนนั้น เป็นการที่รถจักรยานยนต์ของกลางได้เข้ามาอยู่ในความยึดถือของเจ้าพนักงานตามอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ในคดีที่เกิดขึ้นภายหลังโดยยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายและยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในความยึดถือของเจ้าพนักงานตำรวจในคดีที่มีการลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ จึงยังถือไม่ได้ว่าขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของกลางไว้นั้น รถจักรยานยนต์ของกลางพ้นสภาพจากทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด เพราะเจ้าพนักงานตำรวจที่ยึดไว้ไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมาขณะยึด การที่จำเลยมาติดต่อ ช.ให้นำเงินไปไถ่ในวันรุ่งขึ้นนั้น เป็นการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในสภาพที่ถูกยึดมาเพียงแต่การช่วยจำหน่ายของจำเลยไม่สามารถที่จะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะขณะที่จำเลยช่วยจำหน่ายทรัพยนั้น รถจักรยานยนต์ของกลางอยู่ในความยึดถือของพนักงานตำรวจที่ยึดไว้ในคดีอื่นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามรับของโจรที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 81
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ: ต้องรอฟังผลถึงที่สุดก่อนพิจารณาคดีนี้
ข้อความที่คู่ความแถลงท้ากันว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1ขับรถยนต์โดยสารประมาทหรือไม่นั้น คู่ความขอถือเอาผลคำพิพากษาของอีกคดีหนึ่งเป็นข้อแพ้ชนะ คำว่า ผลคำพิพากษาของอีกคดีหนึ่งนั้นมิได้ระบุว่าผลคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงต้องหมายถึงผลคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ตาม และเมื่อเป็นคำท้าคู่ความต้องผูกพันตามคำแถลงนั้น เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดคดีที่คู่ความท้ากันนี้ต้องรอฟังผลคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีนั้นเสียก่อน จึงจะพิจารณาประเด็นข้อพิพาทอื่นที่มิได้ท้ากันต่อไปได้.