พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2450/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายในงานสังสรรค์ ศาลลดโทษจากทำร้ายจนถึงแก่ความตายเป็นทำร้ายร่างกายธรรมดา
ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยที่ 4 ต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวหาความสำราญด้วยกันในที่เกิดเหตุโดยมิได้ประสงค์จะก่อการวิวาท หากแต่การวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนคบคิดด้วย ทั้งผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กขูดชาฟท์ของบุคคลอื่นที่มิใช่จำเลยที่ 4 ความตายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ดังนี้ จะให้ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 ยังไม่ได้ จำเลยที่ 4 คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามที่กระทำไปเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2431/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการถีบผู้โดยสารตกจากรถ ความรับผิดทางอาญาต่อการกระทำที่เล็งเห็นผลถึงชีวิต
จำเลยเข้าร่วมทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายที่ 1 การที่จำเลยกับพวกช่วยกันถีบผู้ตายกับผู้เสียหายที่ 1 ตกจากรถยนต์โดยสารขณะที่รถยนต์นั้นกำลังแล่นด้วยความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้ตายอาจไปกระแทกผู้เสียหายที่ 2 ที่ยืนอยู่ตรงบันไดตกจากรถไปด้วยกันได้และศีรษะกับลำตัวของผู้ตายหรือของผู้เสียหายทั้งสองอาจกระแทกกับพื้นถนนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังปรากฏว่าผู้ตายมีเลือดออกในผนังหัวใจ ในปอดและกระบังลม เนื้อสมองบวมทั้งสมองอันเกิดจากแรงภายนอกกระทำต่อศีรษะและหน้าอกของผู้ตายอย่างรุนแรงอันถือได้ว่าเป็นผลธรรมดาจากการกระทำของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงต่อเนื่องถึงแก่ความตาย การกระทำไม่เข้าข้อยกเว้นการป้องกัน
จำเลยเป็นเพื่อนสนิทของ ศ. เมื่อทราบว่า ศ. ถูกรังแกก็ย่อมมีความโกรธแค้นเป็นทุนเดิม ครั้นพบกลุ่มผู้เสียหาย ในขณะนั้นก็ย่อมเป็นโอกาสที่จะได้แก้แค้น ทันทีที่ได้รับคำตอบ จาก ศ. ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้ด้วย จำเลยได้รีบตรง เข้าแทงผู้เสียหายทันทีโดยขณะนั้น ผู้เสียหายยังนั่งคร่อมอยู่บน รถจักรยานยนต์ไม่ทันระวังตัว บริเวณที่แทงเป็นหน้าอกด้านขวาอันเป็น อวัยวะที่สำคัญ โดยจำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ เมื่อผู้เสียหายลงจาก รถแล้ววิ่งหนี จำเลยยังได้ไล่ติดตามไปแล้วแทงผู้เสียหายซ้ำอีก 1 ครั้งอันเป็นการส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความโกรธแค้นผู้เสียหายอย่างมาก ผู้เสียหายได้รับบาดแผลแทงทะลุเข้าช่องปอดขวาด้านล่าง ทำให้ทะลุ กระบังลมขวาถูกตับและต่อมหมวกไตขวา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะถึงแก่ความตายได้ แม้โจทก์จะไม่ได้มีดปลายแหลม ที่ใช้เป็นอาวุธมาประกอบคดีก็ตาม แต่ก็พอให้เข้าใจได้ว่ามีดปลายแหลม ที่จำเลยใช้เป็นอาวุธนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เพียงพอที่จะทำให้ ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ บาดแผลที่ปรากฏก็ส่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้แทงโดยแรง พฤติการณ์และการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาทั้งหมดบ่งชี้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
แม้จำเลยเห็นผู้เสียหายทำกิริยาคล้ายจะชักอาวุธออกมาทำร้ายจำเลยจึงแทงผู้เสียหายก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
แม้จำเลยเห็นผู้เสียหายทำกิริยาคล้ายจะชักอาวุธออกมาทำร้ายจำเลยจึงแทงผู้เสียหายก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8228/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตายระหว่างสามีภริยา
ผู้ตายกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนกันมาเป็นเวลานานเกือบ 30 ปี มีบุตรด้วยกัน 5 คน มีความสัมพันธ์รักใคร่ผูกพันซึ่งกันและกันแม้จะมีปากเสียงทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างสามีภริยา เหตุที่จำเลยใช้เคียวฟันผู้ตายก็เนื่องจากถูกผู้ตายถีบและเตะซึ่งถือเป็นเหตุเล็กน้อย กรณีไม่ใช่เหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องฆ่ากัน จำเลยฟันผู้ตายเพียงครั้งเดียวการที่เคียวถูกที่ลำคอผู้ตายเป็นเรื่องบังเอิญ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา
แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะเตะถีบทำร้ายร่างกายและข่มขู่จะฆ่าจำเลยได้ เมื่อผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน กรณีถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตายไป 1 ครั้ง ก็เพื่อจะยับยั้งมิให้ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ถีบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ ทั้งจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายขู่จะฆ่าจำเลยด้วยก็เป็นเรื่องข่มขู่กันระหว่างสามีภริยา ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องจริงจัง จึงมิใช่ภยันตรายที่ร้ายแรงอย่างมากการที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันถูกที่ลำคอผู้ตาย แม้จะมีเจตนาเพียงทำร้ายเพื่อไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีกก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ประกอบด้วยมาตรา 69
แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะเตะถีบทำร้ายร่างกายและข่มขู่จะฆ่าจำเลยได้ เมื่อผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน กรณีถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตายไป 1 ครั้ง ก็เพื่อจะยับยั้งมิให้ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ถีบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ ทั้งจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายขู่จะฆ่าจำเลยด้วยก็เป็นเรื่องข่มขู่กันระหว่างสามีภริยา ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องจริงจัง จึงมิใช่ภยันตรายที่ร้ายแรงอย่างมากการที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันถูกที่ลำคอผู้ตาย แม้จะมีเจตนาเพียงทำร้ายเพื่อไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีกก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ประกอบด้วยมาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2687/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานนอกเวลางานปกติและการประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงาน การเก็บเงินค่าสินค้าถือเป็นการทำงาน
การเดินทางไปเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าตามหน้าที่ ซึ่งนายจ้างไม่เคร่งครัดต่อการลงเวลาทำงานในแต่ละวันและลูกจ้างได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ทั้งเวลาที่เดินทางไปและเวลานัดหมายให้ไป รับเงินก็ต่อเนื่องและคาบเกี่ยวกับเวลาเริ่มทำงานปกติ เหมาะสมตามสภาพของงานที่ลูกจ้างจะพึงกระทำเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ถือว่า เป็นการเริ่มทำงานให้นายจ้างแล้ว เมื่อลูกจ้างประสบเหตุทางรถยนต์ ถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทางไปเก็บเงินจึงเป็นการประสบอันตรายถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง และการพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกันในคดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรมต่างกันคือ ฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย แก่กายกระทงหนึ่ง และฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับความผิดกระทงหลังฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ความผิดกระทงหลังนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองนำเอาการตายของผู้ตายซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำความผิดกระทงหลัง มารับฟังว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยในความผิดกระทงแรกแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 290 นั้น เป็นการพิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องสำหรับความผิดกระทงแรก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการดำเนินคดีของทายาทหลังโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย และการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 โจทก์ร่วม ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตาย จึงเข้าจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) แต่เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณา ทายาทของโจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิที่จะดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมผู้ถึงแก่ความตายต่อไปตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 29 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส. ทายาทของโจทก์ร่วมเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 29 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ส. ที่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น ก็เป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องโดยมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตาย ขณะผู้ตายวิ่งหนี การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส. ทายาทของโจทก์ร่วมเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 29 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ส. ที่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น ก็เป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องโดยมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตาย ขณะผู้ตายวิ่งหนี การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ความรับผิดทางอาญา และการใช้ดุลพินิจของศาล
ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในการวิวาทนั้น จำเลยที่ 1 ไม่พอใจที่ผู้ตายเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์ ส่งเสียงดังจึงไปนำอาวุธปืนจากบ้านแม่ยายแล้วยิงขึ้นฟ้า 1 นัด จากนั้นก็พกอาวุธปืนไว้กับตนเองเพื่อรอที่จะต่อสู้กับฝ่าย ผู้ตาย การพาอาวุธปืนและยิงปืนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควร
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางพกติดตัวอยู่ เมื่อผู้ตายมาถึง จำเลยที่ 2 ได้ร่วมชกต่อยทำร้ายผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เข้าทำร้ายผู้ตายภายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ยิง เป็นการกระทำโดยเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย แม้ปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันทำร้ายผู้ตายดังกล่าวมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงต้องร่วมรับผิดในผล แห่งความตายที่เกิดขึ้นด้วย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางพกติดตัวอยู่ เมื่อผู้ตายมาถึง จำเลยที่ 2 ได้ร่วมชกต่อยทำร้ายผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เข้าทำร้ายผู้ตายภายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ยิง เป็นการกระทำโดยเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย แม้ปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันทำร้ายผู้ตายดังกล่าวมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงต้องร่วมรับผิดในผล แห่งความตายที่เกิดขึ้นด้วย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: การรับผิดชอบของผู้ร่วมกระทำความผิด แม้ผู้ตายเสียชีวิตจากบาดแผลจากการถูกยิง
ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในการวิวาทนั้น จำเลยที่ 1ไม่พอใจที่ผู้ตายเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์ส่งเสียงดัง จึงไปนำอาวุธปืนจากบ้านแม่ยายแล้วยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด จากนั้นก็พกอาวุธไว้กับตนเองเพื่อรอที่จะต่อสู้กับฝ่ายผู้ตาย การพาอาวุธปืนและยิงปืนของจำเลยที่ 1จึงไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควร
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางพกติดตัวอยู่ เมื่อผู้ตายมาถึง จำเลยที่ 2 ได้ร่วมชกต่อยทำร้ายผู้ตายส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 5 เข้าทำร้ายผู้ตายภายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1ยิง เป็นการกระทำโดยมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย แม้จะปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันทำร้ายผู้ตายดังกล่าวมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งความตายที่เกิดขึ้นด้วย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางพกติดตัวอยู่ เมื่อผู้ตายมาถึง จำเลยที่ 2 ได้ร่วมชกต่อยทำร้ายผู้ตายส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 5 เข้าทำร้ายผู้ตายภายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1ยิง เป็นการกระทำโดยมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย แม้จะปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลจากการถูกกระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันทำร้ายผู้ตายดังกล่าวมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งความตายที่เกิดขึ้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8889/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังคำให้การพยานชั้นสอบสวนประกอบการพิจารณาคดีอาญา และการพิสูจน์ความตายจากบาดแผล
โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นใกล้ชิดมาให้การต่อพนักงานสอบสวนแต่ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความในชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลย ศาลจึงนำคำให้การของพยานโจทก์ดังกล่าวชั้นสอบสวนมาฟังประกอบข้อพิจารณาของศาลได้ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนหรือให้รับฟังแต่เฉพาะพยานที่มาเบิกความต่อศาลเท่านั้น เมื่อคำให้การชั้นสอบสวนเกิดขึ้นโดยสมัครใจของพยานโจทก์ ศาลจึงนำคำให้การพยานชั้นสอบสวนมาฟังประกอบได้
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย