พบผลลัพธ์ทั้งหมด 40 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2920/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกความผิดร่วม vs. ความผิดส่วนบุคคลในคดียาเสพติด และการปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามปริมาณยาเสพติด
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษ คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 115.4 กรัม ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายและพยายามร่วมกันส่งเฮโรอีนจำนวนดังกล่าว ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามแต่ละคนสมัครใจนำยาเสพติดตามจำนวน ที่แต่ละคนต้องการติดตัวไปเท่านั้น มิได้ร่วมกันกระทำผิด และพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสอง,65 วรรคสอง,66 วรรคสอง การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ดังนี้ เมื่อโจทก์ มิได้อุทธรณ์จึงต้องฟังตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสาม มิได้ร่วมกันกระทำผิดที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสาม ร่วมกันกระทำผิดจึงไม่ถูกต้อง แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และมาตรา 83โดยลงโทษเท่าเดิมนั้น เป็นเพียงปรับบทกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าถูกต้องเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษ อย่างไรก็ตามศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามต่างมีเฮโรอีนแยกต่างหากจากกันมิได้กระทำผิดร่วมกันในลักษณะตัวการ เมื่อเฮโรอีน ที่จำเลยแต่ละคนมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100 กรัม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเสพเฮโรอีน: การร่วมวงเสพไม่ถือเป็นความผิดร่วม
ความผิดฐานเสพเฮโรอีน กฎหมายประสงค์ลงโทษผู้เสพรับเข้าร่างกายเท่านั้น ลักษณะแห่งความผิดไม่เปิดช่องให้ผู้อื่นมาร่วมกระทำความผิดด้วยกันได้ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยมานั่งร่วมวงอยู่กับคนที่เสพเฮโรอีนก็ไม่อาจจะถือได้ว่าจำเลยร่วมเสพเฮโรอีนด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3620/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้หรือมีอาวุธปืน แม้ไม่มีการครอบครองหรือใช้ปืนเอง
เมื่อผู้กระทำผิดคนใดใช้อาวุธปืนยิงในการปล้นทรัพย์ก็ถือว่าผู้กระทำผิดอื่นที่ไม่มีอาวุธปืนหรือไม่ได้ยิงอาวุธปืนมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนยิงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340วรรคสี่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนี: การกระทำความผิดร่วม และการใช้ยานพาหนะเพื่อความผิด
จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยซึ่งจอดที่ถนนห่างผู้เสียหายประมาณ15เมตรและไปชิงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายได้แล้วก็กลับมานั่งซ้อนท้ายรถที่จอดอยู่หลบหนีไปถือว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไปและหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5857/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและครอบครองยาเสพติด (แอมเฟตามีน) โดยเจตนาและมีส่วนร่วม รวมถึงการพิจารณาโทษตามกฎหมายแก้ไขใหม่
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 3เป็นบุตร เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่พบของกลาง เครื่องมือใช้ผลิตแอมเฟตามีน 27 รายการ และค้นบ้านเลขที่ 377 ซึ่งอยู่ห่างไป 500 เมตร พบจำเลยที่ 2 ในบ้านดังกล่าวพบของกลางน้ำยาและอุปกรณ์การผลิตจำนวนมาก ยาม้าหรือแอมเฟตามีนที่ผลิตแล้ว 180 เม็ด ส่วนอุปกรณ์เช่น บล๊อกปั๊มยี่ห้อยาม้าค้นได้ที่ใต้ฟูก ในห้องนอน บ้านไม่มีเลขที่กับบ้านเลขที่ 377 เป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่า ผู้นำเครื่องมือผลิตยาม้ามาไว้ในบ้านดังกล่าวนั้นคือนายตี๋เพื่อนของจำเลยที่ 1 และได้ผลิตยาม้าไปแล้วครั้งหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมในการที่นายตี๋นำเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตยาม้าหรือแอมเฟตามีนมาทำการผลิตในบ้านของตน รวมทั้งแอมเฟตามีนที่ผลิตเป็นเม็ดแล้วก็เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนและร่วมกันมีแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มีพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง: การกระทำเตรียมพร้อมใช้ปืนถือเป็นความผิดร่วม
จำเลยทั้งสามมีอาวุธปืนติดตัว ขึ้นไปบนสถานีตำรวจ จำเลยที่ 1 ขอให้ผู้เสียหายไปตรวจค้นบ้านบุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตาม จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนจี้บังคับไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องแล้วใช้มือล็อกคอและกอดปล้ำบังคับผู้เสียหายให้นั่งบนโซฟา โดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนและจำเลยที่ 3 ยืนจับด้ามปืนสั้นที่เอว แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ชักปืนออกมาก็ตามแต่การกระทำของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนบังคับผู้เสียหายด้วยจำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดร่วม การไม่มีเจตนา การช่วยเหลือความผิด
ขณะเกิดเหตุ ท.และจำเลยกับพวกดื่มสุรากันมาจนมึนเมามิได้ร่วมสมคบกันมาก่อนที่จะทำร้ายผู้เสียหาย และการที่ ท.กับพวกรุมชกต่อยและ ท.ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายนี้ได้ทำขึ้นทันทีทันใดหลังจากที่ผู้เสียหายบอก ท.ว่าผู้เสียหายเรียนอยู่ที่ ว.ค. ส่วนการที่จำเลยจับแขนของนางสาว อ.ไว้ก็เพราะกลัวว่านางสาวอ.จะไปช่วยผู้เสียหาย อีกทั้งจำเลยก็มิได้จับแขนนางสาว อ.ไว้แน่น แต่กลับปล่อยให้นางสาว อ.สะบัดหลุดส่อลักษณะเป็นการให้โอกาสนางสาว อ.สะบัดหลุดเพื่อวิ่งหนีไปเพราะอาจได้รับอันตรายจากเหตุที่เกิดขึ้น เช่นนี้พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับ ท.และพวก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4954/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมขอคืนภาษี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1
การที่จำเลยที่ 2 นำบิลเงินสดซึ่งตนรู้อยู่ว่าเป็นเอกสารปลอมไปแสดงต่อกรมสรรพากรพร้อมกับให้ถ้อยคำประกอบเพื่อขอเงิน ภาษีคืนจากกรมสรรพากร จนกรมสรรพากรคืนเงินภาษีอากรให้แก่จำเลยที่ 1ผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยถือว่า เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากรแล้ว จำเลยที่ 2ต้องรับผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารปลอมด้วย
โทษปรับนิติบุคคลจะกักขังแทนเงินไม่ได้ จึงจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 เท่านั้น.
โทษปรับนิติบุคคลจะกักขังแทนเงินไม่ได้ จึงจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1582/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดร่วมกันมีและพาอาวุธปืน แม้ไม่ได้ถือเอง แต่ร่วมกระทำความผิด แสดงเจตนา
ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยมิได้รับอนุญาต เป็นความผิดที่ร่วมกระทำด้วยกันได้ จำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้าย 7-8 คนไปปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนติดตัวไป 6 กระบอก แม้จะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายอื่นไปปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเจ้าทรัพย์โดยใช้ปืนยิง เสร็จแล้วหลบหนีไปด้วยกันแสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับคนร้ายอื่นมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ