คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำบังคับ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 88 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับ การพิจารณาคำร้องขอพิจารณาใหม่ และขอบเขตการอุทธรณ์ในคดีจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่คำบังคับมีผล โดยไม่แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคแรก ให้ยกคำร้องแสดงอยู่ในตัวว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่ามีการส่งคำบังคับให้จำเลยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏจากรายงานการเดินหมายว่าพนักงานเดินหมายได้ส่งคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้อง ตรงกับที่ระบุไว้ในแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ที่โจทก์ส่งอ้างเป็นหลักฐานต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาของจำเลยแทนการส่งด้วยวิธีธรรมดาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังกล่าวจึงไม่ผิดกฎหมาย
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทคู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคแรกคู่ความคงอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ.ว่าด้วยการพิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยได้แสดงเหตุอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ จึงมีเหตุสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาใหม่คำบังคับ: กำหนดเวลา 15 วัน และเหตุสุดวิสัย
คดีนี้ปรากฏว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลซึ่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่ 29 พฤษภาคม 2538 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 26กันยายน 2538 จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอ้างในคำขอพิจารณาใหม่ว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปี 2529 แล้วก่อนฟ้องซึ่งโจทก์ทราบดี โดยจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้ อันแสดงว่าจำเลยได้อ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้จำเลยเป็นเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แม้เหตุที่ยื่นคำขอล่าช้าจะได้กล่าวไว้ในคำขอให้พิจารณาใหม่แล้ว แต่จำเลยหาได้กล่าวไว้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใด จึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31 ได้ ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณียื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้น ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำขอพิจารณาใหม่ที่ล่าช้า จำเลยต้องแจ้งเหตุแห่งความล่าช้าและวันที่ทราบคำบังคับอย่างชัดเจน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ล่วงพ้นกำหนด15วันนับจากวันที่ส่งคำบังคับแม้จะอ้างว่าจำเลยได้ย้ายไปเสียจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นก่อนฟ้องแล้วจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้องอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้แต่จำเลยไม่ได้กล่าวว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่เมื่อใดเพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อใดทำให้ไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด15วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208ได้ถือได้ว่าจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณียื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นจึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการขับไล่ - ศาลมีอำนาจออกหมายจับบริวารหากไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเมื่อคดีมีลักษณะเป็นการฟ้องแย้งเพื่อส่งมอบอสังหาริมทรัพย์
นอกจากจำเลยจะฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ทั้งสองผิดสัญญาแล้ว ยังฟ้องแย้งขอให้โจทก์ส่งมอบตึกพิพาทแก่จำเลยและห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับตึกพิพาทด้วย จึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินเดือนละ68,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จแก่จำเลย เช่นนี้การที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่โจทก์ทั้งสองและบริวารได้ออกจากตึกพิพาทแล้วหรือไม่และออกไปเมื่อใด จึงเป็นกรณีที่พอแปลความหมายได้ว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารต้องออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ วรรคหนึ่งซึ่งมีผลอย่างเดียวกับให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทอยู่ในตัว ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากไม่ยอมออกไปจากตึกพิพาทตามคำบังคับจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(1) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์: ศาลมีอำนาจออกหมายจับบริวารหากไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ
นอกจากจำเลยจะฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์ทั้งสองผิดสัญญาแล้วยังฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองส่งมอบตึกพิพาทแก่จำเลยห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับตึกพิพาทด้วยจึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินเดือนละ68,000บาทนับแต่วันที่28มิถุนายน2526เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินที่ต้องชำระแต่ละเดือนจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเสร็จแก่จำเลยจึงเห็นได้ว่าการที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่โจทก์ทั้งสองและบริวารได้ออกจากตึกพิพาทแล้วหรือไม่และออกไปเมื่อใดกรณีพอแปลความหมายได้ว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารต้องออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา286ทวิวรรคหนึ่งซึ่งมีผลอย่างเดียวกับให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทอยู่ในตัวดังนั้นที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับบริวารของโจทก์ทั้งสองตามรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากไม่ออกไปจากตึกพิพาทตามคำบังคับจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296จัตวา(1)แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7331/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208: พฤติการณ์นอกเหนือความสามารถในการควบคุม และผลของการทราบคำบังคับ
ป.วิ.พ.มาตรา 208 กำหนดระยะเวลาในการขอให้พิจารณาใหม่ไว้เป็นลำดับ กล่าวคือในลำดับแรกจะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านี้ โดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทน จะต้องได้มีการปฏิบัติตามคำกำหนดนั้นแล้ว ลำดับที่สอง ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวได้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงลำดับที่สาม กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น
การที่โจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์ และคำบังคับให้จำเลยที่บ้านซึ่งจำเลยและครอบครัวไม่ได้พักอาศัยอยู่ โดยจำเลยให้บุคคลอื่นเช่า จำเลยไม่ทราบถึงการถูกดำเนินคดี นับเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่ดินและบ้านของจำเลยจำเลยก็อยู่ด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แสดงหมายบังคับคดีให้จำเลยดูและบอกให้จำเลยไปดำเนินการทางศาลต่อไป กรณีถือได้ว่าจำเลยได้ทราบแล้วว่าตนถูกฟ้องและทราบถึงการส่งคำบังคับแล้ว จึงถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนั้น การที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์ดังกล่าวนั้นได้สิ้นสุดลงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5642/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาในคำบังคับและการออกหมายบังคับคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำว่า "ลักษณะนี้" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 คือลักษณะ 5ของบรรพ 1 ซึ่งว่าด้วยหลักทั่วไป มิได้ใช้บังคับเฉพาะเรื่องนิติกรรม แต่ใช้บังคับในเรื่องการนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ด้วย และแม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 273 วรรคสามจะได้บัญญัติว่า ระยะเวลาในคำบังคับให้เริ่มนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับหรือข้อความท้ายคำบังคับที่ระบุให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 7 วันนับแต่วันได้รับคำบังคับ ก็ไม่อาจถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่จะต้องนับระยะเวลาในวันแรกรวมเข้าด้วยกรณีต้องนับระยะเวลาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันปิดคำบังคับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคหนึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อให้เวลาแก่ลูกหนี้ในอันที่จะปฏิบัติการชำระหนี้แก่ เจ้าหนี้ หากยังอยู่ในระยะเวลาดังกล่าวศาลก็จะยังไม่ออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ กรณีนี้แม้วันสุดท้ายแห่งระยะเวลาจะเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งตามปกติธนาคารโจทก์จะหยุดทำการด้วย อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถติดต่อกับโจทก์ได้ แต่วันเปิดทำการในวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2538 และต่อ ๆ มาหลังจากนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แต่อย่างใดการที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีในวันเปิดทำการดังกล่าว แม้จะออกเร็วไป 1 วัน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีก็เพิ่งไปดำเนินการบังคับคดีเมื่อกำหนดเวลาตามคำบังคับได้ล่วงพ้นไปแล้วการที่จำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ กรณีก็ต้องมีการบังคับคดีตามหมายบังคับคดีได้อยู่นั่นเอง จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีและถอนการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยย้ายที่อยู่แล้ว โดยใช้ภูมิลำเนาเดิมที่ปรากฏในสัญญาและทะเบียนบ้าน
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร และโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 4 มีที่อยู่ดังกล่าว โดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง 3 วัน ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์ 2 คน อายุ 2 ปี และ 4 ปี การที่จำเลยที่ 4 ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดี โดยจำเลยที่ 4 มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วย และภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามหลักฐานที่ปรากฏในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยา แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวีกรุงเทพมหานคร ดังนั้น การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว
แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 4 จะได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่ 45/323 หมู่ที่ 5 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่มกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อถือว่าจำเลยที่ 4 ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาชอบด้วยกฎหมาย การส่งคำบังคับโดยชอบ แม้จำเลยย้ายที่อยู่ภายหลัง
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร และโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 4 มีที่อยู่ดังกล่าว โดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง 3 วัน ก็ปรากฎว่าจำเลยที่ 4มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์ 2 คนอายุ 2 ปี และ 4 ปี การที่จำเลยที่ 4 ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดี โดยจำเลยที่ 4 มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วย และภูมิลำเนาของจำเลยที่ 4 ตามหลักฐานที่ปรากฎในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่ 483/2-3 ถนนผศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ดังนั้นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 4 ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 4 จำได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่ 45/323 หมู่ที่ 5ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่มเขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครแต่เมื่อถือว่าจำเลยที่ 4 ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมายแม้จำเลยย้ายที่อยู่ เหตุภูมิลำเนาเดิมยังคงมีชื่อจำเลยและครอบครัว
ในการทำสัญญาจำนองที่ดินแก่โจทก์จำเลยที่4แจ้งที่อยู่ลงในสัญญาจำนองว่าอยู่บ้านเลขที่483/2-3ถนนศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไทเขตราชเทวี กรุงเทพมหานครและโจทก์ก็บรรยายไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยที่4มีที่อยู่ดังกล่าวโดยโจทก์ได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านที่คัดรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนวันยื่นฟ้อง3วันก็ปรากฎว่าจำเลยที่4มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวพร้อมบุตรผู้เยาว์2คนอายุ2ปีและ4ปีการที่จำเลยที่4ย้ายไปที่อยู่ใหม่ภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีโดยจำเลยที่4มิได้แจ้งที่อยู่ใหม่ให้โจทก์และศาลชั้นต้นทราบทั้งไม่มีชื่อบุตรผู้เยาว์ย้ายไปอยู่ด้วยและภูมิลำเนาของจำเลยที่4ตามหลักฐานที่ปรากฎในขณะส่งคำบังคับคือบ้านเลขที่483/2-3ถนนผศรีอยุธยาแขวงถนนพญาไทเขตราชเทวี กรุงเทพมหานครดังนั้นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่4ตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงชอบแล้ว แม้ในขณะปิดคำบังคับตามคำสั่งศาลจำเลยที่4จำได้ย้ายไปอยู่ที่อยู่ใหม่แล้วคือบ้านเลขที่45/323หมู่ที่5ถนนสุขาภิบาล1แขวงคลองกุ่มเขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครแต่เมื่อถือว่าจำเลยที่4ได้รับคำบังคับโดยชอบแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดี
of 9