พบผลลัพธ์ทั้งหมด 31 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการรับผิดตามเช็ค: การที่จำเลยให้คำรับรองรอฟังคำสั่งถือว่าทราบคำสั่งศาล แม้ไม่มีลายมือชื่อในบัญชีนัด
หลังจากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว จำเลยไม่ได้อยู่รอฟังคำสั่งแต่ได้ให้คำรับรองไว้ว่า ตนรอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอก็ให้ถือว่าทราบแล้วศาลชั้นต้นได้เกษียนสั่งในคำให้การของจำเลยในวันเดียวกันนั้นเองให้รับคำให้การจำเลยสำเนาให้โจทก์นัดพร้อมตัวความและสืบพยานโจทก์ฯลฯแม้เจ้าหน้าที่ศาลได้กำหนดวันสืบพยานโจทก์โดยไม่มีลายมือชื่อฝ่ายจำเลยทราบวันสืบพยานโจทก์ในบัญชีนัดพิจารณาคดีของศาลก็ตามแต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ศาลที่กำหนดวันสืบพยานโจทก์นั้นถือว่าได้กระทำหรือปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแลหรือตามคำสั่งศาลคดีจึงถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลในวันที่จำเลยยื่นคำให้การที่จำเลยอ้างว่าป่วยไม่ได้มาศาลก่อนที่จำเลยทราบก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่จำเลยทราบคำสั่งแล้ว และถือว่าจำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานโจทก์เป็นการจงใจขาดนัดพิจารณา
ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จะต้องกล่าวในคำขอให้พิจารณาใหม่โดยชัดแจ้งให้เห็นว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ตลอดจนคำให้การของจำเลยไม่ได้กล่าวว่าโจทก์ได้รู้ความจริงว่า เช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ตามเช็คหรือโจทก์รับโอนเช็คด้วยการคบคิดกับผู้ที่รับเช็คไว้จากจำเลยเพื่อฉ้อฉลจำเลยไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์รับมอบเช็คนั้นไว้ โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและมีคำสั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้นคดีจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบหรือรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแม้จะพิจารณาใหม่ จำเลยก็ไม่อาจชนะคดีได้
ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จะต้องกล่าวในคำขอให้พิจารณาใหม่โดยชัดแจ้งให้เห็นว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ตลอดจนคำให้การของจำเลยไม่ได้กล่าวว่าโจทก์ได้รู้ความจริงว่า เช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ตามเช็คหรือโจทก์รับโอนเช็คด้วยการคบคิดกับผู้ที่รับเช็คไว้จากจำเลยเพื่อฉ้อฉลจำเลยไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์รับมอบเช็คนั้นไว้ โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและมีคำสั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้นคดีจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบหรือรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแม้จะพิจารณาใหม่ จำเลยก็ไม่อาจชนะคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการรับผิดตามเช็ค: ผลของการให้คำรับรองและการทราบคำสั่งศาล
หลังจากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้วจำเลยไม่ได้อยู่รอฟังคำสั่งแต่ได้ให้คำรับรองไว้ว่าตนรอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอก็ให้ถือว่าทราบแล้วศาลชั้นต้นได้เกษียนสั่งในคำให้การของจำเลยในวันเดียวกันนั้นเองให้รับคำให้การจำเลยสำเนาให้โจทก์นัดพร้อมตัวความและสืบพยานโจทก์ฯลฯแม้เจ้าหน้าที่ศาลได้กำหนดวันสืบพยานโจทก์โดยไม่มีลายมือชื่อฝ่ายจำเลยทราบวันสืบพยานโจทก์ในบัญชีนัดพิจารณาคดีของศาลก็ตามแต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ศาลที่กำหนดวันสืบพยานโจทก์นั้นถือว่าได้กระทำหรือปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแลหรือตามคำสั่งศาลคดีจึงถือว่าจำเลยทราบคำสั่งศาลในวันที่จำเลยยื่นคำให้การที่จำเลยอ้างว่าป่วยไม่ได้มาศาลก่อนที่จำเลยทราบก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่จำเลยทราบคำสั่งแล้วและถือว่าจำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานโจทก์เป็นการจงใจขาดนัดพิจารณา ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208จะต้องกล่าวในคำขอให้พิจารณาใหม่โดยชัดแจ้งให้เห็นว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ตลอดจนคำให้การของจำเลยไม่ได้กล่าวว่าโจทก์ได้รู้ความจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ตามเช็คหรือโจทก์รับโอนเช็คด้วยการคบคิดกับผู้ที่รับเช็คไว้จากจำเลยเพื่อฉ้อฉลจำเลยไม่ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์รับมอบเช็คนั้นไว้โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและมีคำสั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้นคดีจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบหรือรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแม้จะพิจารณาใหม่จำเลยก็ไม่อาจชนะคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากคำรับรองไม่เป็นไปตามมาตรา 221 ป.วิ.อาญา เหตุผลไม่ชัดเจนว่าเป็นปัญหาสำคัญ
ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกน้อยลงและรอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำรับรองของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาว่า "จำเลยถูกพิพากาษลงโทษโดยกฎหมายซึ่งแก้ไขโทษชั้นต่ำให้สูงจากเดิมมาก สมควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปจึงรับรองให้จำเลยทั้งหมดฎีกาได้" เป็นคำรับรองที่ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เพราะไม่ได้ความว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ไม่ได้
คำรับรองของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาว่า "จำเลยถูกพิพากาษลงโทษโดยกฎหมายซึ่งแก้ไขโทษชั้นต่ำให้สูงจากเดิมมาก สมควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไปจึงรับรองให้จำเลยทั้งหมดฎีกาได้" เป็นคำรับรองที่ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เพราะไม่ได้ความว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากคำรับรองของผู้พิพากษาไม่เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรา 221 ป.วิ.อาญา
ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกน้อยลงและรอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำรับรองของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาว่า 'จำเลยถูกพิพากษาลงโทษโดยกฎหมายซึ่งแก้ไขโทษขั้นต่ำให้สูงจากเดิมมากสมควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป จึงรับรองให้จำเลยทั้งหมดฎีกาได้' เป็นคำรับรองที่ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เพราะไม่ได้ความว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ไม่ได้
คำรับรองของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาว่า 'จำเลยถูกพิพากษาลงโทษโดยกฎหมายซึ่งแก้ไขโทษขั้นต่ำให้สูงจากเดิมมากสมควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป จึงรับรองให้จำเลยทั้งหมดฎีกาได้' เป็นคำรับรองที่ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เพราะไม่ได้ความว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนการครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอ ศาลสั่งให้ส่งมอบการครอบครองแทนการโอน
ที่ดินที่เพียงแต่แจ้งการครอบครองไว้ ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ศาลจะพิพากษาให้จำเลยโอนให้โจทก์ไม่ได้ เพราะไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 9
การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมทำได้โดยส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ได้ หากผู้รับโอนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว การโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงการแสดงเจตนาก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379
การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมทำได้โดยส่งมอบการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ได้ หากผู้รับโอนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว การโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงการแสดงเจตนาก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1379
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2670/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน ส.ค.1 ที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอ ทำให้การบังคับโอนไม่มีผล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดิน ส.ค.1 ให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งเท่ากับขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงไม่อาจจะโอนให้กันได้ตาม พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 เมื่อตามกฎหมายไม่อาจจะโอนกันได้ ก็จะถือว่าจำเลยผิดสัญญา เพราะไม่ไปจดทะเบียนขายภายในกำหนดอันจะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2670/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับโอนที่ดิน ส.ค.1 ที่ยังไม่ได้รับคำรับรองการทำประโยชน์ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดิน ส.ค.1 ให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งเท่ากับขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทยังไม่ได้รับคำรับรอง จากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงไม่อาจจะโอนให้กันได้ตาม พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 เมื่อตามกฎหมายไม่อาจจะโอนกันได้ ก็จะถือว่าจำเลยผิดสัญญา เพราะไม่ไปจดทะเบียนขายภายในกำหนดอันจะต้องใช้ค่าเสียหาย ให้แก่โจทก์ตามสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับรองหลักทรัพย์ชั่วคราว: ความถูกต้องต้องพิจารณาจากเจตนาและข้อเท็จจริงประกอบ
มีผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว โดยระบุว่ามีทรัพย์สิน คือ ที่นาหนึ่งแปลงราคา 10,000 บาท ว. ทำคำรับรอง ว่านายประกันมีหลักทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์นี้จริงและราคาพอสมควร ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ว. ไม่ได้รับรองเลยว่า ว. รู้จักกับผู้ที่มีชื่อตามคำร้องขอให้ปล่อยนั้น แม้จะได้ความว่า ว. ไม่รู้จักบุคคลนั้น ก็ไม่อาจถือว่าคำรับรองนั้นเป็นความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้เงินยืมมีเงื่อนไขชำระเมื่อขายที่ดิน ข้อความในเอกสารเป็นเพียงคำรับรอง ไม่ใช่เงื่อนไขตามกฎหมาย
หนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 มีความที่จำเลยเขียนไว้ว่า'ได้รับยืมเงินคุณพระ (โจทก์) 60,000บาท จะใช้คืนทั้งหมดในเมื่อรับเงินขายที่ 24 ไร่ได้ จะคืนคุณพระหมด'หนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 มีความว่า'ขอกวนใจช่วยอีก 20,000 บาทเท่ากับให้ผมยืมก่อน และเวลาขายที่นาของผมได้ ผมก็จะอนุญาตให้คุณพระหักไปเลย' ดังนี้ข้อความที่จำเลยเขียนระบุไว้นั้น เป็นเพียงคำปรารภหรือคำกล่าวอ้างของจำเลยในเวลายืมรับรองว่าจะชำระหนี้คืน เมื่อจำเลยขายที่ดินของจำเลยได้ เนื่องจากจำเลยยังมีที่ดินพอจะขายเอาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้เท่านั้น คำรับรองดังกล่าวหาใช่เงื่อนไขในการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา144 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงื่อนไขชำระหนี้จากการยืมเงิน: คำรับรองขายที่ดินไม่ใช่เงื่อนไขตามกฎหมาย
หนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 มีความที่จำเลยเขียนไว้ว่า'ได้รับยืมเงินคุณพระ (โจทก์)60,000บาท จะใช้คืนทั้งหมดในเมื่อรับเงินขายที่ 24 ไร่ได้ จะคืนคุณพระหมด'หนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 มีความว่า'ขอกวนใจช่วยอีก 20,000 บาทเท่ากับให้ผมยืมก่อน และเวลาขายที่นาของผมได้ ผมก็จะอนุญาตให้คุณพระหักไปเลย' ดังนี้ข้อความที่จำเลยเขียนระบุไว้นั้น เป็นเพียงคำปรารภหรือคำกล่าวอ้างของจำเลยในเวลายืมรับรองว่าจะชำระหนี้คืน เมื่อจำเลยขายที่ดินของจำเลยได้ เนื่องจากจำเลยยังมีที่ดินพอจะขายเอาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้เท่านั้นคำรับรองดังกล่าวหาใช่เงื่อนไขในการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา144 ไม่