คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำร้องขัดทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความในการลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์ ต้องเป็นการแต่งตั้งโดยชัดเจนตามกฎหมาย มิฉะนั้นคำร้องไม่สมบูรณ์
การที่ ฉ. ลงลายมือชื่อในคำรับเป็นทนายความในใบแต่งทนายความ2 ฉบับ ซึ่งไม่มีข้อความระบุว่า ผู้ร้องทั้งสองได้แต่งตั้งให้ฉ.เป็นทนายความแต่ระบุชื่อน.เป็นทนายความเช่นนี้ฉ.จึงมิใช่ทนายความของผู้ร้องทั้งสองและไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในคำร้องขัดทรัพย์แทนผู้ร้องทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62 คำร้องขัดทรัพย์มีลักษณะเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1(3) จึงต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทั้งสองตามมาตรา 67(5)หรือลายมือชื่อของทนายความที่ผู้ร้องแต่งตั้งตามมาตรา 62 มิฉะนั้นคำร้องดังกล่าวย่อมไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 67(5) ศาลต้องสั่งคืนคำร้องนั้นไปให้ผู้ร้องทั้งสองแก้ไขภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรจะกำหนดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แต่คำร้องขัดทรัพย์ที่ลงลายมือชื่อโดยทนายความผู้ไม่มีอำนาจ มิใช่กรณีที่คำร้องไม่มีลายมือชื่อของผู้ร้องอันจะสั่งให้แก้ไขได้ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์: ศาลไม่จำเป็นต้องรับคำร้องหากไม่มีเหตุแก้ไข & การยินยอมให้ผู้อื่นจำนองทรัพย์สินโดยไม่เปิดเผยตัวตน
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง เมื่อไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องมีคำสั่งให้คืนไปให้ทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมแล้วศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้รับไว้ คำร้องขัดทรัพย์จะแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาในชั้นตรวจคำร้องขัดทรัพย์ ตามคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องที่อ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสามแปลงที่โจทก์นำยึดโดยใส่ชื่อ จำเลยไว้ในโฉนด แทนนั้นหากเป็นความจริงก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ยอมให้จำเลยผู้เป็นตัวแทนทำการออกหน้าเป็นตัวการนำที่ดินพิพาททั้งสามแปลงไปจำนองกับโจทก์ ผู้ร้องจึงหาอาจทำให้เสื่อมเสียแก่สิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มีต่อจำเลยผู้เป็นตัวแทนและขวนขวายได้สิทธิมาก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องได้ไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์ซ้ำและสิทธิสวมจากการยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกบังคับคดี
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งตามคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุตรอีกสองคน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด แต่มีสิทธิเพียงขอรับส่วนแบ่งของตนหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้วเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นอีก โดยอ้างว่าผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทคนละครึ่ง และผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น โดยจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่ผู้ร้องทั้งสาม ผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลง จึงขอให้ศาลปล่อยที่ดินที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสาม ดังนี้คำร้องฉบับหลังในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1 ย่อมเป็นคำร้องซ้ำกับคำร้องเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 นั้นเป็นเรื่องจำเลยยอมให้ส่วนของจำเลยในที่ดินที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลยเท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและยกคำร้อง จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์ซ้ำ & การสวมสิทธิในที่ดินจากการประนีประนอมยอมความ ศาลยกคำร้อง
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งตามคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุตรอีกสองคน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด แต่มีสิทธิเพียงขอรับส่วนแบ่งของตนหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้วเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นอีก โดยอ้างว่าผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทคนละครึ่ง และผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น โดยจำเลยยอมยก0กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่ผู้ร้องทั้งสามผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลง จึงขอให้ศาลปล่อยที่ดินที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสาม ดังนี้ คำร้องฉบับหลังในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1 ย่อมเป็นคำร้องซ้ำกับคำร้องเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 นั้น เป็นเรื่องจำเลยยอมให้ส่วนของจำเลยในที่ดินที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลยเท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและยกคำร้อง จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 901/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงในการพิจารณาคำร้องขัดทรัพย์ แม้ทุนทรัพย์เกิน 5,000 บาท
การพิจารณาชั้นร้องขัดทรัพย์ถือเป็นการพิจารณาในเรื่องเดิมที่โจทก์ฟ้องจำเลย ฉะนั้น แม้คดีร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องได้ตั้งจำนวนทุนทรัพย์มา 5,000 บาท ก็หาเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์หลังศาลไม่อนุญาต และผลกระทบต่อการนำสืบพยานหลักฐาน
ผู้ร้อง ร้องขัอทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ ได้รับมรดกมาแต่ผู้เดียว
โจทก์ให้การแก้ว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยด้วยครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยเป็นน้องผู้ร้อง และผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาแบ่งมรดกกันคนละครึ่ง
ภายหลังวันชี้สองสถานแล้ว ผู้ร้องขอเพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์ว่าหลังจากทำสัญญาแบ่งทรัพย์กับจำเลยแล้ว จำเลยได้มาขอเงินจากผู้ร้องไปจำนวนหนึ่ง แล้วทำสัญญาไม่ขอเกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาทอีกต่อไป แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์ได้ ดังนี้ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิจะนำสืบตามที่อ้างขึ้นมาใหม่ เพราะเมื่อข้ออ้างใหม่ศาลไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา จะถือว่าเป็นการสืบหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์ ที่กล่าวอ้างไว้ในคำให้การไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์นอกกรอบประเด็นเดิม ศาลไม่รับฟังเป็นเหตุหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์
ผู้ร้อง ร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ ได้รับมรดกมาแต่ผู้เดียว
โจทก์ให้การแก้ว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยด้วยครึ่งหนึ่งโดยจำเลยเป็นน้องผู้ร้อง และผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาแบ่งมรดกกันคน ละครึ่ง
ภายหลังวันชี้สองสถานแล้วผู้ร้องขอเพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์ว่า หลังจากทำสัญญาแบ่งทรัพย์กับจำเลยแล้วจำเลยได้มาขอเงินจากผู้ร้องไปจำนวนหนึ่ง แล้วทำสัญญาไม่ขอเกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาท อีกต่อไป สัญญาแบ่งทรัพย์จึงไม่ผูกพันต่อไปแต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมคำร้องขัดทรัพย์ได้ ดังนี้ ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิจะนำสืบตามที่อ้างขึ้นมาใหม่ เพราะเมื่อข้ออ้างใหม่ศาลไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมจึง ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาจะถือว่าเป็นการสืบหักล้างข้อกล่าว อ้างของโจทก์ ที่กล่าวอ้างไว้ในคำให้การไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์: เพียงอ้างว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้องก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดการได้มา
การร้องขัดทรัพย์นั้นในคำร้องกล่าวว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องและขอให้ปล่อยนั้น ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะถือได้แล้วว่า เป็นคำร้องขัดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมาย หาจำต้องบรรยายด้วยว่าได้ทรัพย์นั้นมาโดยอย่างไร เพราะเป็นแต่เรื่องรายละเอียด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์เพียงระบุว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้องก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุวิธีการได้มา
การร้องขัดทรัพย์นั้น ในคำร้องกล่าวว่า ทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้องและขอให้ปล่อยนั้น ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะถือได้แล้วว่า เป็นคำร้องขัดทรัพย์ที่ชอบด้วยกฎหมายหาจำต้องบรรยายด้วยว่าได้ทรัพย์นั้นมาโดยอย่างไร เพราะเป็นแต่เรื่องรายละเอียด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9835/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์/ปล่อยทรัพย์สินที่ยึด ถือเป็นคำฟ้อง ต้องเสียค่าขึ้นศาล การยื่นคำร้องซ้ำถือเป็นกระบวนการไม่ถูกต้อง
คำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดหรือคำร้องขัดทรัพย์เป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) ผู้ร้องจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขัดทรัพย์แล้วมีคำสั่งว่า กรรมสิทธิ์ในห้องชุดเป็นของจำเลย ไม่ได้ตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึด ยกคำร้องขอ จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) มีผลเป็นการพิพากษาคดีแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง กรณีจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้แก่ผู้ร้องได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอแล้ว แทนที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น แต่ผู้ร้องกลับเลือกที่จะยื่นคำร้องขัดทรัพย์ใหม่ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง อันเป็นความผิดของผู้ร้องเอง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้คืนเงินค่าธรรมเนียมศาลครั้งแรกแก่ผู้ร้องนั้น เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียว โดยมิได้ยกเหตุว่า ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมิได้กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 168 อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
of 3