พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5401/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดทำให้การอุทธรณ์คำสั่งชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นอันตกไป
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ถือว่าคำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องพิจารณาอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10611/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลปกครองกลางระงับการก่อสร้างก่อนมีคำพิพากษา ไม่ถือเป็นการขัดขวางการพิจารณาคดี
แม้การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งกำหนดมาตรการและวิธีการคุ้มครองบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 66 ประกอบระเบียบของที่ประชุมใหญ่ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 77 ที่กำหนดให้นำความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งลักษณะ 1 ของภาค 4 วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ เป็นการกระทำตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันเกี่ยวด้วยคดีซึ่งศาลได้กระทำต่อคู่ความฝ่ายหนึ่งและเป็นกระบวนพิจารณาก่อนที่ศาลชี้ขาดตัดสินคดี อันเป็นการพิจารณาคดีของศาลตามความหมายของคำว่า กระบวนพิจารณา และการพิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (7) และ (8) ก็ตาม แต่ก็แยกพิจารณาได้เป็นอีกส่วนหนึ่งจากการพิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดีที่ฟ้องร้องกัน ทั้งกระบวนพิจารณาของศาลปกครองกลางในการออกคำสั่งดังกล่าวก็ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คงเหลือแต่ผลบังคับถึงจำเลยที่ 2 ให้ต้องปฏิบัติตามเป็นการชั่วคราวก่อนที่คดีที่ฟ้องร้องกันนั้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด หากจำเลยที่ 2 ซึ่งทราบคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตาม กระบวนพิจารณาที่เสร็จสิ้นไปแล้วก็ไม่อาจถูกขัดขวางทำให้ไม่สะดวกหรือต้องติดขัดจากการกระทำดังกล่าวไปได้ ทั้งการพิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดีที่ฟ้องร้องกันก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้เป็นอีกส่วนหนึ่ง การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาลอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 198
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5081/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งห้ามชั่วคราวสิ้นผลเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องบังคับคดีส่งมอบรถยนต์
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทที่ทำไว้แก่โจทก์เพื่อขอรับเอกสารไปรับสินค้ารถยนต์ที่สั่งซื้อไว้ โดยระหว่างพิจารณาโจทก์มีคำขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ห้ามจำเลยทั้งสองโอน ขาย ยักย้ายหรือจำหน่ายรถยนต์พิพาท และให้นายทะเบียนกรมการขนส่งทางบกระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนรถยนต์คันพิพาทไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ต่อมาศาลทรัพย์สินฯ มีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และคดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ในชั้นบังคับคดี ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทมาโดยถูกต้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าว กรณีเช่นนี้ แม้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ มาตรา 26 ประกอบกับ ป.วิ.พ. มาตรา 260 (2) บัญญัติให้คำสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวยังมีผลใช้บังคับต่อไปก็ตาม แต่ก็ให้ใช้บังคับต่อไปเท่าที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเท่านั้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ ทั้งโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ดังกล่าว เมื่อศาลทรัพย์สินฯ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ย่อมไม่มีเหตุจำเป็นต้องปฏิบัติตามวิธีการชั่วคราวที่ห้ามจำเลยทั้งสองโอนขาย ยักย้าย หรือจำหน่ายรถยนต์ดังกล่าว เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษานี้อีกแต่อย่างใด คำสั่งในวิธีการชั่วคราวดังกล่าวเป็นอันยกเลิกไปในตัวไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษาได้