พบผลลัพธ์ทั้งหมด 713 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัดตามคำให้การ การนำสืบพยานนอกเหนือข้อต่อสู้ต้องห้าม
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าไม่เคยกู้เงินและทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ โดยมิได้ให้การต่อสู่ว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์แล้ว ดังนี้คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะนำพยานหลักฐานเข้าสืบก็เป็นการนำสืบนอกข้อต่อสู้ในคำให้การต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5269/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทต้องยกขึ้นในคำให้การ การนำสืบเกินเลยคำให้การไม่อาจรับฟังได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 37 วรรคสอง บัญญัติว่า "จำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือก่อนวันเวลาที่ศาลแรงงานนัดให้มาศาลก็ได้" มาตรา 39 บัญญัติว่า "ในกรณีมีประเด็นที่ยังไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกัน ให้ศาลแรงงานจดประเด็นข้อพิพาทและบันทึกคำแถลงของโจทก์กับคำให้การของจำเลย อ่านให้คู่ความฟัง และให้ลงลายมือชื่อไว้ โดยจะระบุให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานมาสืบก่อนหรือหลังก็ได้ แล้วให้ศาลแรงงานกำหนดวันสืบพยานไปทันที
ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ให้ศาลแรงงานบันทึกไว้ และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป" บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า การพิจารณาคดีแรงงานนั้นจำเลยจะให้การต่อสู้คดีเป็นหนังสือหรือแถลงให้การด้วยวาจาต่อหน้าศาลแรงงานก็ได้และจะให้การก่อนวันนัดพิจารณาคดีหรือในวันนัดพิจารณาคดีก็ได้ แต่การให้การก่อนวันนัดพิจารณาคดีนั้นต้องให้การเป็นหนังสือ หากจำเลยไม่ให้การ ศาลก็จะบันทึกไว้และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ได้ให้การว่าโจทก์ลาออกก่อนจะไม่ได้รับคอมมิชชั่น (ค่านายหน้า) แม้จำเลยจะแนบสำเนาสัญญาจ้างมาท้ายคำให้การ ซึ่งมีข้อความว่า "ลูกจ้าง (โจทก์) ทำยอดขายไม่ได้ตามที่บริษัทกำหนด ถ้าลาออกจะไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่น (ค่านายหน้า)" ก็มิใช่ประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบได้ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำให้การไม่อาจรับฟังได้
ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ให้ศาลแรงงานบันทึกไว้ และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป" บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า การพิจารณาคดีแรงงานนั้นจำเลยจะให้การต่อสู้คดีเป็นหนังสือหรือแถลงให้การด้วยวาจาต่อหน้าศาลแรงงานก็ได้และจะให้การก่อนวันนัดพิจารณาคดีหรือในวันนัดพิจารณาคดีก็ได้ แต่การให้การก่อนวันนัดพิจารณาคดีนั้นต้องให้การเป็นหนังสือ หากจำเลยไม่ให้การ ศาลก็จะบันทึกไว้และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ได้ให้การว่าโจทก์ลาออกก่อนจะไม่ได้รับคอมมิชชั่น (ค่านายหน้า) แม้จำเลยจะแนบสำเนาสัญญาจ้างมาท้ายคำให้การ ซึ่งมีข้อความว่า "ลูกจ้าง (โจทก์) ทำยอดขายไม่ได้ตามที่บริษัทกำหนด ถ้าลาออกจะไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่น (ค่านายหน้า)" ก็มิใช่ประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบได้ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำให้การไม่อาจรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถือว่าชอบแล้ว หากผู้รับมีคุณสมบัติตามกฎหมาย และการยื่นคำให้การเกินกำหนดทำให้ไม่รับคำให้การ
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับมีผลเสมือนว่าเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 73 ทวิ ดังนั้น เมื่อภรรยาของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุเกิน 20 ปี และอยู่บ้านเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยตนเอง ย่อมถือได้ว่ามีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามโดยชอบแล้วตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 29 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 76 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามมีสิทธิยื่นคำให้การได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2548 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและเรียกจำเลยร่วม ต้องวางค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การและขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้วสืบพยานต่อไปนั้น อุทธรณ์ของจำเลยเท่ากับเป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ต่อไป จำเลยจึงต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ด้วย ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 902/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องจากการกู้ยืมเงิน: การให้การของจำเลยแสดงเหตุขาดอายุความชัดเจน ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันกู้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระต้นเงินให้แก่โจทก์แล้วเสร็จ โดยกำหนดให้จำเลยผ่อนชำระคืนเป็นรายวัน การที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) เนื่องจากนำคดีมาฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับจากมีสิทธิเรียกร้องซึ่งตามมาตรา 193/33 (2) บัญญัติอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เพียงกรณีเดียวเฉพาะเงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ เช่นนี้ ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวได้แสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่าสิทธิเรียกร้องตามหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความเมื่อใดและเพราะเหตุใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาเรื่องอายุความตามคำให้การของจำเลย จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8189/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การที่ไม่ชัดเจนและไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ค่านายหน้าแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยให้การรับว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยให้การต่อไปว่า โจทก์ทั้งสองผิดสัญญานายหน้า จำเลยจึงมีคำสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงิน และโจทก์ทั้งสองได้รับเงินตามเช็คพิพาทไปแล้วบางส่วนนั้น จำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า โจทก์ทั้งสองผิดสัญญาอย่างไร และโจทก์ทั้งสองได้รับเงินตามเช็คพิพาทไปแล้วจำนวนเท่าใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองผิดสัญญานายหน้าหรือไม่ และโจทก์ทั้งสองได้รับเงินตามเช็คพิพาทไปแล้วบางส่วน แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ปัญหาว่า คำให้การของจำเลยก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิใช่ปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งคู่ความมิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ปัญหาว่า คำให้การของจำเลยก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิใช่ปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งคู่ความมิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2965/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การชั้นสอบสวนใช้ประกอบคำรับสารภาพได้, แก้โทษตามกฎหมายใหม่, จำหน่ายยาเสพติด
คำให้การชั้นสอบสวนของพยานไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังแต่อย่างใด ดังนั้น คำให้การของพยานในชั้นสอบสวน ศาลย่อมนำมาฟังประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ทั้งคดีที่โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่จำต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดดังคดีที่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โจทก์เพียงนำสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดก็เป็นการเพียงพอแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5)ฯ มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสองสำหรับคดีนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.18 กรัม โดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีโทษจำคุกต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิม จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5)ฯ มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสองสำหรับคดีนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด น้ำหนัก 0.18 กรัม โดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีโทษจำคุกต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นคุณมากกว่ากฎหมายเดิม จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการละเมิดอำนาจศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานก่อนตัดสิน หากไม่มีการไต่สวน ถ้อยคำของพยานยังไม่เป็นที่รับฟัง
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าศาล และผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานหาข้อเท็จจริงเสียก่อนให้ได้ความว่ามีการกระทำดังกล่าวหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นเพียงสอบถามปากคำของ ด. และผู้ถูกกล่าวหา โดยไม่ปรากฏว่า ด. ได้สาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 112 ถ้อยคำของ ด. จึงรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ ปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ถูกกล่าวหามิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การ และผลกระทบต่อการยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และในเรื่องอายุความเมื่อไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในข้อนี้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12013/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแย้งโดยชอบด้วยกฎหมายและการนับระยะเวลาการยื่นคำให้การแก้ฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอส่งและปิดหมายเรียกและสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้ทนายโจทก์ ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งสำเนาและหมายเรียกโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง โดยส่งแก่ทนายโจทก์แทนตามที่ขอ ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่การส่งคำคู่ความตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 83 ทวิ และมาตรา 83 ฉ แต่เป็นกรณีของการส่งคำคู่ความให้แก่ทนายความที่คู่ความแต่งตั้งให้ว่าคดีตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 75 ซึ่งถือว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย และการส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้แก่ทนายโจทก์โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ มีผลเสมือนว่าเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 73 ทวิ เมื่อ พ. ซึ่งอายุเกิน 20 ปี และอยู่บ้านหรือสำนักงานเดียวกันกับทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวแทนทนายโจทก์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2546 ย่อมถือได้ว่ามีการส่งสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 76 วรรคหนึ่ง และโจทก์อาจยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันดังกล่าวตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ฯ มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 178 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2546 การที่โจทก์ยื่นคำให้การวันที่ 29 ตุลาคม 2546 จึงเกินกำหนด 15 วัน ตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ได้