พบผลลัพธ์ทั้งหมด 115 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการคุ้มครองประโยชน์โจทก์ก่อนบังคับคดี: การไม่อนุญาตคืนเงินจำเลย
ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับใน 30 วันเจ้าพนักงานศาลได้ส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม2540 จำเลยจึงมีเวลาที่จะปฏิบัติตามคำบังคับเป็นเวลา 45 วัน นับแต่วันที่มีการปิดคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้คืนเงินให้จำเลยในวันที่ 9 มิถุนายน 2540ยังไม่พ้นระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับ อีกทั้งศาลชั้นต้นยังมิได้ออกหมายบังคับคดี คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเกี่ยวกับคำขออายัดเงินของโจทก์ได้ และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งดังกล่าวศาลชั้นต้นได้ฟังคำแถลงของโจทก์เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่แสดงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนเงินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ผู้ขอเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับตามคำพิพากษา จึงเป็นดุลพินิจที่ชอบและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาและยกคำร้องได้หากไม่มีเหตุคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่าคดีนี้มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยจำเลยขาดนัด พิจารณาและได้สั่งยกคำร้องไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจ ขอให้งดการบังคับคดี แต่คำร้องขอของจำเลยอาจถือได้ว่า เป็นการขอให้สั่งคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จแล้ว จึงไม่มีเหตุจะต้อง สั่งคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ต่อไป ศาลอุทธรณ์จึงต้องสั่งให้ยกคำร้อง ของ จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5973/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาต่อวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา และสิทธิในการขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในระหว่างพิจารณาให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำร้องขอของโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยมิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาดังกล่าว แต่โจทก์ก็มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา แสดงว่าตนประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้วิธีการชั่วคราวเช่นว่านั้นยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวจึงเป็นอันยกเลิกตาม ป.วิ.พ.มาตรา 260 (1) และในกรณีนี้กฎหมายหาได้บังคับให้โจทก์ต้องยื่นคำขอดังกล่าวเสมอไปไม่ และถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอแต่ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาและคำพิพากษาดังกล่าวบังคับให้โจทก์ต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ หรือในกรณีที่คำพิพากษามิได้บังคับให้โจทก์กระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จำเป็นต้องคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 264โดยโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอตามมาตรา 260 ก่อน และถ้าโจทก์ยื่นคำขอทุเลาการบังคับและตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้โจทก์กระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตามคำขอแปลได้ว่าเป็นคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตามคำขอไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5973/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาอุทธรณ์: โจทก์ไม่จำเป็นต้องยื่นคำขอตามมาตรา 260 ก่อนเสมอไป
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำร้องขอของโจทก์ และศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยมิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาดังกล่าว และโจทก์ก็มิได้ยื่น คำขอต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวเป็นอันยกเลิกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260(1) และในกรณีนี้กฎหมายหาได้บังคับให้โจทก์ต้องยื่นคำขอดังกล่าวเสมอไปไม่ และถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอแต่ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาและคำพิพากษาดังกล่าวบังคับให้โจทก์ต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้หรือในกรณีที่คำพิพากษามิได้บังคับให้โจทก์กระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จำเป็นต้องคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 264 โดยโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอตามมาตรา 260 ก่อน โจทก์ยื่นคำขอทุเลาการบังคับโดยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้โจทก์กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อตามคำขอแปลได้ว่าเป็นคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตามคำขอไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี ต้องไม่ทำให้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองเสียสิทธิ
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา คดีนี้ที่ดินพิพาทจำเลยที่ 3ได้จดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญจึงเป็นสิทธิที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 4ได้ดีกว่าการที่โจทก์ทั้งสิบห้าขอวางเงินต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แทนที่ดิน การใช้วิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสิบห้าไว้ในระหว่างการพิจารณาตามที่โจทก์ทั้งสิบห้ามีคำขอจึงเป็นการทำให้จำเลยที่ 4 เสียหาย จะกระทำโดยจำเลยที่ 4มิได้ยินยอมด้วยหาได้ไม่ จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะคุ้มครองประโยชน์ไว้ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาตามวิธีการที่เสนอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบของคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ต่อการบังคับคดีและการคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหาย เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวแล้วตั้งแต่ก่อนโจทก์ยื่นฎีกา ซึ่งเมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจในการเก็บรวบรวมและรับเงิน หรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นแม้แต่คำสั่งของศาลที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ชั่วคราว หรือหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้นก็จะใช้ยันแก่ จ.พ.ท.ของลูกหนี้ไม่ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22(2) และมาตรา 110 วรรคหนึ่ง ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจจะฎีกาขอให้ศาลในคดีนี้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือตัวแทนของโจทก์เข้าไปตรวจสอบรายรับรายจ่ายของรายได้จากเงินค่าเช่าทรัพย์สินที่พิพาท แล้วให้นำเงินค่าเช่าบางส่วนหลังจากหักค่าใช้จ่ายมาวางศาลให้ระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5923/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลที่นำเสนอต่อศาล ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งชอบแล้ว
ตามคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีหมายแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ระงับการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01ให้โจทก์ทั้งสามและระงับการทำนิติกรรมใด ๆ สำหรับที่ดินพิพาท เพราะหากออกเอกสารสิทธิดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์ทั้งสามแล้ว โจทก์อาจนำที่ดินพิพาทไปทำนิติกรรมใด ๆ ทำให้จำเลยเสียหาย แต่ชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามจะทำการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทให้เสร็จก่อนคดีจะถึงที่สุดโดยอาศัยหลักฐานการเสียภาษีซึ่งไม่ตรงตามข้ออ้างที่ระบุในคำร้อง กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยที่ขอนั้นมาใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิขอคุ้มครองประโยชน์ตาม ป.ว.พ. มาตรา 264 สงวนเฉพาะคู่ความ ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิ
ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตาม ป.วฺิ.พ.มาตรา 264 ต้องเป็นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้น ผู้ร้องสอดเพียงแต่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดเท่ากับไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความแม้ผู้ร้องสอดจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 264 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 264: ต้องเป็นคู่ความในคดีเท่านั้น
ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ต้องเป็นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้นผู้ร้องสอดเพียงแต่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดเท่ากับไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความแม้ผู้ร้องสอดจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 264 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี: ผู้ร้องต้องเป็นคู่ความในคดีเท่านั้น
ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264ต้องเป็นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้นผู้ร้องสอดเพียงแต่ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดเท่ากับไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความแม้ผู้ร้องสอดจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา264ได้