พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5137/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างบริษัทประกันภัย ไม่ผูกพันสิทธิเรียกร้องของผู้เอาประกันภัยต่อคู่กรณี
แม้บริษัทประกันภัยจำเลยที่ 4 จะมีข้อตกลงกับบริษัท ท.ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์อีกคันหนึ่งว่าหากมีเหตุเกิดขึ้นระหว่างรถยนต์ที่จำเลยที่ 4 และบริษัท ท.ผู้รับประกันภัยไว้ จำเลยที่ 4 กับบริษัท ท.ต่างจะรับผิดชอบซ่อมแซมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รถยนต์ที่ฝ่ายตนรับประกันภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น หากระทบถึงสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากมูลละเมิดในส่วนของผู้เอาประกันภัยไม่ ดังนั้นการที่บริษัท ท.ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยไป ก็หาทำให้จำเลยที่ 4 ซึ่งต้องรับผิดต่อโจทก์พ้นความรับผิดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่า ว. คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนกับรถที่จำเลยขับด้วยหรือไม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งให้นำบทบัญญัติ มาตรา 223 มาใช้โดยอนุโลม เมื่อเหตุที่เกิดรถชนกันทำให้ รถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเพราะ ว. ประมาทเลินเล่อด้วยซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย แม้ศาลมิได้ กำหนดประเด็นไว้ว่าว.คนขับรถยนต์ของโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันคู่กรณี & การระงับข้อพิพาททางแพ่ง
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยผู้รับช่วงสิทธิไม่ได้นำสืบแจ้งชัดว่าจำเลยเป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อมากกว่า ว.การที่พนักงานสอบสวนทำบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีแม้เพียงเพื่อเปรียบเทียบปรับทั้งจำเลยและ ว. แต่เมื่อเอกสารนั้นมีข้อตกลงกันให้ต่างคนต่างซ่อมรถยนต์ที่เสียหายโดยที่ขณะนั้นเจ้าของรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไม่ได้คัดค้านแสดงว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยและ ว. ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันจึงได้มีการตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่จะพึงมีต่อกันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นผลให้มูลละเมิดซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850-852และเท่ากับเจ้าของรถยนต์แสดงออกหรือยอมให้ ว. แสดงออกว่า ว.เป็นตัวแทนในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามมาตรา821ส่วนที่มีการทำรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีขึ้นอีกหนึ่งฉบับในภายหลังเมื่อจำเลยและเจ้าของรถยนต์ไม่ได้มีเจตนาที่จะผูกพันกันตามที่ทำบันทึกไว้จึงไม่มีผลบังคับและไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ก่อนแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดที่ระงับสิ้นไปแล้วในฐานะผู้รับช่วงสิทธิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือพื้นดินจากข้อตกลงที่ไม่จดทะเบียน: สิทธิใช้ประโยชน์ได้เฉพาะคู่กรณี
ข้อตกลงและทางปฏิบัติระหว่าง บ. กับจำเลยก่อนที่ดินพิพาทจะเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ มีลักษณะที่ บ. ยอมให้จำเลยมีสิทธิเป็นเจ้าของฮวงซุ้ย ซึ่งได้ก่อสร้างบนที่ดินพิพาทนั้นมาแต่เดิม เป็นการก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลยโดยทางนิติกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1410 ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีต้องด้วยป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคแรก การได้มาซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินอันเป็นทรัพย์สิทธิเกี่ยวกับที่ดินพิพาทไม่บริบูรณ์ คงใช้ได้ในฐานะบุคคลสิทธิระหว่างคู่กรณีคือ บ. กับจำเลยเท่านั้น ไม่ว่าโจทก์ผู้รับซื้อที่ดินพิพาทจาก บ. จะรู้ถึงข้อความระหว่าง บ. กับจำเลยมาก่อนหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมมีอำนาจในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1336 ที่จะขัดขวางมิให้จำเลยหรือบุคคลอื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือพื้นดินจากข้อตกลงก่อนการซื้อขายที่ดิน: สิทธิมีผลเฉพาะคู่กรณีเดิม
ข้อตกลงและทางปฏิบัติระหว่าง บ. กับจำเลยก่อนที่ดินพิพาทจะเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ มีลักษณะที่ บ. ยอมให้จำเลยมีสิทธิเป็นเจ้าของฮวงซุ้ยซึ่งได้ก่อสร้างบนที่ดินพิพาทนั้นมาแต่เดิม เป็นการก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดิน เป็นคุณแก่จำเลยโดยทางนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1410 ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคแรก การได้มาซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินอันเป็นทรัพย์สิทธิเกี่ยวกับที่ดินพิพาทไม่บริบูรณ์ คงใช้ได้ในฐานะบุคคลสิทธิระหว่างคู่กรณีคือ บ. กับจำเลยเท่านั้น ไม่ว่าโจทก์ผู้รับซื้อที่ดินพิพาทจาก บ. จะรู้ถึงข้อความระหว่าง บ.กับจำเลยมาก่อนหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมมีอำนาจในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ที่จะขัดขวางมิให้จำเลยหรือบุคคลอื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณี ผู้บริวารของจำเลยไม่อาจอ้างเป็นเหตุเพิกถอนได้
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์ บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่า ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไป แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด แต่จำเลยมิได้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปตามสัญญาโจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดี และปรากฏว่าบ้านพิพาทในคดีนี้เป็นบ้านหลังเดียว กันกับบ้านพิพาทในอีกคดีหนึ่งซึ่ง ส.เป็นโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยในคดีนี้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องในคดีนี้เป็นจำเลยให้ออกจากบ้านพิพาทและคดีดังกล่าวได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ผู้ร้องยอมอาศัยห้องหนึ่งของบ้านพิพาทอย่างผู้อาศัย ดังนั้น เมื่อ ส. แถลงรับในคดีนี้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า เป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและมอบอำนาจให้จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีแทน ทั้งยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์คดีนี้ ส. จึงอยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องในฐานะผู้อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำไว้กับ ส. ก็อยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน หาได้มีอำนาจพิเศษอันจะเป็นข้ออ้างต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) แต่อย่างใดไม่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณี ผู้มีฐานะบริวารย่อมไม่มีสิทธิโต้แย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมและ ส. บุตรของจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้านพิพาท จำเลยเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทแทน ส. และยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนี้ ส. อยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทในฐานะผู้อาศัยสิทธิของ ส. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่ ส. เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาถึงเหตุที่เพิ่งยกประเด็นเรื่องโจทก์ให้ผู้ร้องเช่าที่ดินต่อจากจำเลย และ ส.ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีแทนขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์นั้น เป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3855/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระงับข้อพิพาทและการปฏิบัติตามสัญญา: สิทธิของคู่กรณีเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ และตกลงกันด้วยว่าโจทก์จำเลยจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ที่ฟ้องร้องพัวพันกันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทุกคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา โดยคู่ความจะถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์คดีอื่น ๆ ภายในกำหนด7 วัน นับแต่วันที่ศาลสั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความดังนี้ แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่แล้วให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยมีเงื่อนไขที่แต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติตาม และจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ถอนฟ้องคดีแพ่งเรื่องหนึ่งดังที่ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีนั้นหรือดำเนินคดีกับโจทก์เกี่ยวกับคดีแพ่งที่โจทก์ไม่ถอนฟ้องนั้นเป็นคดีใหม่ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลในคดีนี้ให้ออกหมายเรียกโจทก์มาสอบถามและบังคับให้ถอนฟ้องหรือออกหมายขังไว้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทเลินเล่อของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายในคดีรถชน ทำให้ความรับผิดในความเสียหายเป็นอันพับไป
ศาลสั่งรวมพิจารณาคดีแพ่งสองสำนวนเข้าด้วยกันและพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในสำนวนแรกยื่นฎีกาแม้ตามฎีกาของจำเลยทั้งสามจะระบุเลขคดีทั้งสองสำนวนก็ตามแต่ในช่องทุนทรัพย์ระบุทุนทรัพย์ตามสำนวนที่สองเท่านั้นคำขอท้ายฎีกาก็ขอให้จำเลยในสำนวนที่สองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสาม ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาก็เสียตามทุนทรัพย์ในสำนวนที่สอง ประกอบกับการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสามก็ถือทุนทรัพย์ตามสำนวนที่สอง จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามประสงค์จะฎีกาเฉพาะสำนวนที่สอง ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2มิได้เป็นคู่ความในสำนวนที่สอง จึงไม่มีสิทธิฎีกา คงเป็นฎีกาเฉพาะของจำเลยที่ 3 ในฐานะที่เป็นโจทก์ในสำนวนที่สองเท่านั้น ผู้ขับรถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เป็นเหตุให้รถชนกัน ความรับผิดในความเสียหายของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นอันพับ ไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นอันสิ้นสุดเมื่อคู่กรณีตกลงยกเลิกโดยชัดแจ้ง แม้ไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรใหม่
โจทก์เช่าสถานที่จากจำเลยโดยจำเลยเรียกเงินกินเปล่าจำนวน220,000 บาท โจทก์ชำระให้ไปก่อน 110,000 บาท ต่อมาเจ้าของที่ดินที่แท้จริงให้โจทก์ออกจากที่เช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยและไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาว่า จำเลยฉ้อโกงเงินจำนวน 110,000 บาทจำเลยจึงตกลงจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นงวด หากผิดสัญญาจำเลยยินดีให้โจทก์ฟ้องบังคับคดีได้ พนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกและให้โจทก์จำเลยลงชื่อไว้ บันทึกนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในทางแพ่ง ต่อมาถึงวันที่จำเลยต้องชำระเงินงวดแรก โจทก์จำเลยไปพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจแต่ตกลงกันไม่ได้ โจทก์แจ้งให้ดำเนินคดีกับจำเลยและขอถอนข้อตกลงทั้งหมดโดยพนักงานสอบสวนบันทึกไว้ ส่วนจำเลยก็ขอให้บันทึกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเช่นกันตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า คู่กรณีมีเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชัดแจ้งแล้ว แม้โจทก์จำเลยต่างลงลายมือชื่อเฉพาะในบันทึกของตนแยกจากกันก็ตาม ความผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยก็เป็นอันสิ้นไป โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้.