พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5255/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อบังคับให้โอนทรัพย์สิน ไม่ถือเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
จำเลยจับโจทก์ร่วมไปหน่วงเหนี่ยวกักขังแล้วบังคับให้เขียนจดหมายถึง พ. มารดาของโจทก์ร่วมให้โอนที่ดินที่จำนองเพื่อชำระหนี้แก่ ข. แม่ยายของจำเลยหรือจำเลยนั้น จำเลยมีเจตนาเพียงเพื่อบังคับให้มารดาโจทก์ร่วมชำระหนี้แก่แม่ยายจำเลยหรือจำเลยโดยจำเลยซึ่งเป็นบุตรเขยเชื่อว่ากระทำได้ ดังนั้น ประโยชน์ที่จำเลยเรียกร้องจึงไม่ใช่ค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(13)การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามมาตรา 313
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงรับจำนำรับจำนำเกิน 10,000 บาท ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.โรงรับจำนำ เจ้าของทรัพย์มีสิทธิเรียกเงินค่าไถ่คืนได้
คนร้ายชิงทรัพย์ของโจทก์แล้วเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำจำเลยเป็นเงินชิ้นละเกินกว่า 10,000 บาท จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 โจทก์เจ้าของทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกทรัพย์ดังกล่าวคืนจากจำเลยได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่และแม้โจทก์เสียค่าไถ่ไปแล้วโดยสำคัญผิด โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินคืนจากจำเลยได้ เพราะการที่จำเลยรับเงินจากโจทก์เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงรับจำนำรับจำนำเกิน 10,000 บาท ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เจ้าของทรัพย์มีสิทธิเรียกทรัพย์คืนพร้อมเงินค่าไถ่
คนร้ายชิงทรัพย์ของโจทก์แล้วเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำจำเลยเป็นเงินชิ้นละเกินกว่า 10,000 บาท จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 มาตรา 4 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกทรัพย์ดังกล่าวคืนจากจำเลยได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ และแม้โจทก์เสียค่าไถ่ไปแล้วโดยสำคัญผิด โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินคืนจากจำเลยได้ เพราะการที่จำเลยรับเงินจากโจทก์เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์ให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงรับจำนำรับจำนำเกิน 10,000 บาท ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เจ้าของทรัพย์มีสิทธิเรียกเงินค่าไถ่คืนได้
คนร้ายชิงทรัพย์ของโจทก์แล้วเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำจำเลยเป็นเงินชิ้นละเกินกว่า 10,000 บาท จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 โจทก์เจ้าของทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกทรัพย์ดังกล่าวคืนจากจำเลยได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่และแม้โจทก์เสียค่าไถ่ไปแล้วโดยสำคัญผิด โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินคืนจากจำเลยได้ เพราะการที่จำเลยรับเงินจากโจทก์เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306-2307/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษคดีอุ้มบุญเรียกค่าไถ่ ตามมาตรา 316 ป.อาญา กรณีผู้เสียหายได้รับอิสรภาพก่อนศาลตัดสิน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ได้รับเงินค่าไถ่จากพวกของผู้เสียหายแล้ว ได้จัดให้ผู้เสียหายผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316 บัญญัติให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยวที่1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ตามกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 313 วรรคแรกนั้น จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306-2307/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษคดีค่าไถ่เมื่อผู้เสียหายปลอดภัย และอำนาจศาลฎีกาในการแก้ไขคำพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6ได้รับเงินค่าไถ่จากพวกของผู้เสียหายแล้ว ได้จัดให้ผู้เสียหายผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้เสียหายไม่ได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 316บัญญัติให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยวที่1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ตามกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 313 วรรคแรกนั้น จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกค่าไถ่ พฤติการณ์สนับสนุนการหาเงินค่าไถ่เข้าข่ายความผิดฐานดังกล่าว
จำเลยที่1กับจำเลยคนอื่นร่วมกันจับตัวผู้เสียหายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ขณะที่บุตรชายของผู้เสียหายนำเงินค่าไถ่ไปให้จำเลยที่1มีจำเลยที่2และจำเลยที่4ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่1กับพวกอีก3คนอยู่ในที่นั้นด้วยจำเลยที่4พูดกับบุตรชายของผู้เสียหายว่า"เขาเอาเท่าไหร่ก็ให้เขาไปเสียจะได้หมดเวรหมดกรรมกัน"พฤติการณ์ของจำเลยที่4เป็นการช่วยพูดให้บุตรชายผู้เสียหายหาเงินค่าไถ่มาให้ตามที่พวกจำเลยเรียกร้องเข้าลักษณะความผิดฐานกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานเป็นคนกลางเรียกค่าไถ่ จำเลยให้ความช่วยเหลือในการหาเงินค่าไถ่ เข้าข่ายความผิดฐานนั้น มิใช่แค่สนับสนุน
จำเลยที่1กับจำเลยคนอื่นร่วมกันจับตัวผู้เสียหายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ขณะที่บุตรชายของผู้เสียหายนำเงินค่าไถ่ไปให้จำเลยที่1มีจำเลยที่2และจำเลยที่4ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่1กับพวกอีก3คนอยู่ในที่นั้นด้วยจำเลยที่4พูดกับบุตรชายของผู้เสียหายว่า'เขาเอาเท่าไหร่ก็ให้เขาไปเสียจะได้หมดเวรหมดกรรมกัน'พฤติการณ์ของจำเลยที่4เป็นการช่วยพูดให้บุตรชายผู้เสียหายหาเงินค่าไถ่มาให้ตามที่พวกจำเลยเรียกร้องเข้าลักษณะความผิดฐานกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวเท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คนกลางเรียกค่าไถ่: แม้ไม่ร่วมจับกุม แต่มีความสัมพันธ์กับคนร้าย ศาลลงโทษตามมาตรา 315
คนร้ายจับผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ พี่ผู้เสียหายออกตามพบจำเลยซึ่งเรียกให้รถหยุดแล้วจำเลยเป็นผู้ต่อรองค่าไถ่ด้วยตนเอง ลดจำนวนค่าไถ่ลง เมื่อได้ค่าไถ่แล้ว จำเลยก็สามารถจัดการให้คนร้ายปล่อยผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับคนร้ายเป็นอย่างดี เข้าลักษณะกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่ อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313,314 แต่การเรียกค่าไถ่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 315 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
จำเลยจัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพกลับคืนมาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยผู้เสียหายมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ชอบที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 316
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313,314 แต่การเรียกค่าไถ่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 315 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
จำเลยจัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพกลับคืนมาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยผู้เสียหายมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ชอบที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 316
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2848/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์, เอาตัวไปเรียกค่าไถ่, และการลงโทษตามมาตรา 316 กรณีผู้เสียหายได้รับการปล่อยตัวก่อนศาลพิพากษา
เมื่อจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว ได้คุมตัวผู้เสียหายไปเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ ต่อมาอีกประมาณ 3 ชั่วโมงจำเลยกับพวกได้ปล่อยตัวผู้เสียหาย เพราะทราบว่าตำรวจกำลังออกติดตาม แม้จำเลยกับพวกจะยังไม่ทันได้มาซึ่งเงินค่าไถ่ ก็เป็นความผิดฐานเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่อันเป็นความผิดสำเร็จแล้วและเป็นความผิดคนละกระทงกันกับความผิดฐานปล้นทรัพย์แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ถือได้ว่าจำเลยกับพวกได้จัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ซึ่งกฎหมายให้ลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา 316 และการลดโทษตามมาตรานี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 และที่ 5 ที่มิได้ฎีกาด้วย
มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีหรือใช้อาวุธปืนเท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกัน จะต้องระวางโทษหนักขึ้นทุกคน จำเลยทั้งห้าไม่ได้ใช้อาวุธปืนในขณะกระทำการปล้นทรัพย์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรี จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตาม มาตรา 340 วรรคสี่เท่านั้น และศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ 5 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบด้วย มาตรา225
ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืน จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีหรือใช้อาวุธปืนเท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกัน จะต้องระวางโทษหนักขึ้นทุกคน จำเลยทั้งห้าไม่ได้ใช้อาวุธปืนในขณะกระทำการปล้นทรัพย์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรี จำเลยทั้งห้าคงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตาม มาตรา 340 วรรคสี่เท่านั้น และศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ 5 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบด้วย มาตรา225
ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืน จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก 1 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง