พบผลลัพธ์ทั้งหมด 30 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2843/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดอำนาจพนักงานสอบสวนในการกำหนดหลักประกันเกินจำนวนเงินตามเช็ค สัญญาประกันไม่เป็นโมฆะ
การที่พนักงานสอบสวนสั่งปล่อยชั่วคราว โดยกำหนดหลักประกันเกินจำนวนเงินตามเช็คเป็นแต่เพียงการกระทำที่เกินอำนาจของพนักงานสอบสวน สัญญาประกันมิได้ตกเป็นโมฆะ ดังนั้นเมื่อมีการผิดสัญญาประกัน จึงใช้บังคับนายประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้คือไม่เกินจำนวนเงินตามเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาและการจำกัดอำนาจศาลอุทธรณ์ในการเพิ่มโทษ รวมถึงข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี และริบมีดของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายที่ลงโทษเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ส่วนโทษจำคุกยังคงเท่ากับที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น
ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แม้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ศาลอุทธรณ์คงมีอำนาจวางบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำกัดอำนาจการฎีกาในข้อเท็จจริง และการพิจารณาความผิดกรรมเดียวในคดีฉ้อโกง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่ง และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้ว จึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้า ประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้อง: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า พ. บุตรโจทก์ถูกจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3รับผิดต่อโจทก์ในฐานะบิดามารดาผู้ปกครองจำเลยที่ 3 และในฐานะที่เป็นผู้รับจ้างเลี้ยงดู พ. ไม่ระมัดระวังตามหน้าที่และวิชาชีพปล่อยปละละเลยให้ พ. ถูกทำร้าย ดังนี้ ข้อสำคัญอันเป็นมูลให้โจทก์ฟ้องก็คือจำเลยที่ 3 ทำร้าย พ. เท่านั้น หาได้เลยไปถึงกรณี พ. หกล้มเองไม่ ประเด็นที่ว่าพ. หกล้มจนขาหักเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะผู้รับจ้างเลี้ยงดูประมาทเลินเล่อหรือไม่จึงไม่มี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พ. หกล้มเอง มิใช่ถูกจำเลยที่ 3ทำร้าย แต่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษา พ.ตามควรแก่หน้าที่ จึง เป็นการพิพากษาในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษเกินคำขอ: โจทก์ไม่ได้ขอโทษตามมาตราใด ศาลไม่สามารถปรับบทลงโทษตามมาตรานั้นได้ แม้จะมีความผิดจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วยังขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อีกด้วยข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งประมวลกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามคำขอของโจทก์แล้วเมื่อโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ด้วยศาลจะยกมาตราดังกล่าวมาปรับบทลงโทษไม่ได้เพราะมิใช่กรณีอ้างบทมาตราผิดแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ขอ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 371 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2619/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันตัวเกินจำนวนเงินเช็ค: อำนาจจำกัดของพนักงานสอบสวนและผลต่อความสมบูรณ์ของสัญญา
การที่พนักงานสอบสวนสั่งปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวโดยกำหนดจำนวนเงินให้นายประกันต้องรับผิดชดใช้เมื่อมีการผิดสัญญาประกันเกินจำนวนเงินตามเช็ค อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 5 (2) นั้น เป็นแต่เพียงการกระทำที่เกินอำนาจพนักงานสอบสวน ใช้บังคับนายประกันได้เพียงเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้คือตามจำนวนเงินในเช็ค ไม่ทำให้สัญญาประกันมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายอันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดอำนาจศาลในการพิพากษาถึงจำเลยในคดีที่แยกพิจารณา
ในสำนวนคดีเดิม โจทก์ฟ้องจำเลยกับ ต. ว่าร่วมกันกระทำความผิด ต.รับสารภาพศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธเป็นคดีใหม่และพิพากษาลงโทษ ต. ไปในคดีเดิมในคดีใหม่นี้บุคคลนอกคดีไม่อาจสอดเข้ามาอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาด้วย ต.เป็นจำเลยในคดีสำนวนอื่นซึ่งศาลมิได้พิจารณาพิพากษารวมกับคดีนี้ จึงมิใช่จำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 แต่เป็นจำเลยคดีอื่นที่ไม่มีทางที่จะอุทธรณ์เข้ามาในคดีนี้ต่างหาก ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะยกเอาเหตุซึ่งอยู่ในส่วนลักษณะคดีมาพิพากษาตลอดไปถึง ต. ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนจำกัด การบังคับคดีตามคำพิพากษา และผลของการทำสัญญาเกินอำนาจมอบหมาย
โจทก์มอบอำนาจให้ตัวแทนฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลย โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน แต่โจทก์คัดค้านว่า ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาลและโจทก์ปฏิเสธมาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนจำกัด การบังคับคดีตามคำพิพากษา และผลของสัญญาที่ตัวแทนทำเกินอำนาจ
โจทก์มอบอำนาจให้ตัวแทนฟ้องขับไล่จำเลย. เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลย. โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท.จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย. เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา. จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์. ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน. แต่โจทก์คัดค้านว่า. ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ. และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว. ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาล.และโจทก์ปฏิเสธ.มาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกที่พิพาท.จำเลยยื่นฎีกาแล้วแต่ถอนเสีย. เมื่อโจทก์ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา. จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวแทนของโจทก์. ได้ตกลงทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกที่พิพาทอยู่ต่อไปจนกว่าจะรื้อถอน. แต่โจทก์คัดค้านว่า. ตัวแทนโจทก์ทำนอกเหนือจากหนังสือมอบอำนาจ. และโจทก์ได้ถอนตัวแทนก่อนวันที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาเช่าแล้ว. ดังนี้ จำเลยจะอ้างสัญญาซึ่งทำนอกศาล.และโจทก์ปฏิเสธ.มาเพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของผู้รับมอบอำนาจจำกัดเฉพาะเรื่องที่ระบุในใบมอบอำนาจ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพันจำเลย
เจ้าหนี้ของจำเลยฟ้องจำเลยเรียกหนี้สินผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยนำใบมอบอำนาจมาขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย แต่ใบมอบอำนาจนั้นเป็นเรื่องให้ทำคำของรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมขายที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 607 แม้จะมีข้อความว่าให้มีอำนาจดำเนินคดีทางศาล เช่น ยอมความได้ด้วย ก็ตาม ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ดินนั้น ดังนั้น ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอมให้ ก็ไม่มีผลผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย เจ้าหนี้ของจำเลยนั้นจึงจะนำหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความาขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ และจะอนุโลมเอามูลหนี้เดิมของเจ้าหนี้มาเป็นเหตุอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหนี้มิได้ร้องขอรับชำระหนี้ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหนี้มิได้ร้องขอรับชำระหนี้โดยอาศัยมูลหนี้เดิม และมิได้มีการไต่สวนพยานหลักฐานเกี่ยวกับมูลหนี้เดิม และมิได้มีการไต่สวนพยานหลักฐานเกี่ยวกับมูลหนี้เดิมโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์เสียก่อน
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2509
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2509