พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างทดลองงาน: ศาลต้องวินิจฉัยเหตุผลความจำเป็นและความเพียงพอในการเลิกจ้าง
ลูกจ้างที่ทดลองปฏิบัติงานเป็นลูกจ้างประจำ แต่หาใช่ลูกจ้างประจำสมบูรณ์อันจะพึงมีสิทธิตามกฎหมายเยี่ยงลูกจ้างประจำโดยทั่วไปไม่ เพราะนายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างเสียได้ในระหว่างทดลองปฏิบัติงานโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยว่าเหตุผลที่การทดลองปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจเกิดแต่เหตุอันใด พฤติการณ์เป็นอย่างใด มีความจำเป็นแท้จริง และเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง มีเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาในประเด็นนี้ใหม่.
ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยว่าเหตุผลที่การทดลองปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจเกิดแต่เหตุอันใด พฤติการณ์เป็นอย่างใด มีความจำเป็นแท้จริง และเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง มีเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาในประเด็นนี้ใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4531/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: ยึดทรัพย์เกินจำเป็น เจ้าหนี้ต้องรับผิดค่าธรรมเนียม
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้เสมอ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าทรัพย์สินของจำเลยที่1ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากว่าสิบเท่าเศษ โจทก์นำยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 1 มากเกินความจำเป็นจำเลยที่ 1 จึงย่อมมีอำนาจ ร้องขอให้ ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่พอสมควรได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284วรรคแรก
โจทก์นำยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี ซึ่งมิใช่กรณี ที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติเรื่องการบังคับคดี ตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 284 วรรคสอง ชดใช้ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย หรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้
จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าทรัพย์สินของจำเลยที่1ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากว่าสิบเท่าเศษ โจทก์นำยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 1 มากเกินความจำเป็นจำเลยที่ 1 จึงย่อมมีอำนาจ ร้องขอให้ ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่พอสมควรได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284วรรคแรก
โจทก์นำยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดี ซึ่งมิใช่กรณี ที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติเรื่องการบังคับคดี ตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 284 วรรคสอง ชดใช้ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย หรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4531/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีเกินจำเป็น เจ้าหนี้ต้องรับผิดค่าธรรมเนียม
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่1ตามคำพิพากษาเมื่อจำเลยที่1ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่1มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้เสมอ จำเลยที่1เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าทรัพย์สินของจำเลยที่1ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มีราคาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากว่าสิบเท่าเศษโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่1มากเกินความจำเป็นจำเลยที่1จึงย่อมมีอำนาจร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่1แต่พอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคแรก โจทก์นำยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีซึ่งมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่1ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา284วรรคสองชดใช้ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ3ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและความจำเป็นตามสถานการณ์: การพิจารณาความผิดและเหตุบรรเทาโทษ
จำเลยพาอาวุธปืนไปที่หน้าโรงงานของบริษัทที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้มีอาวุธปืนติดตัว เนื่องจาก นาง ก. พานางสาว น. ไปพบบิดามารดาของจำเลยที่บ้านจำเลยเพื่อเจรจาในการที่จะสู่ขอนางสาว น. เป็นภรรยาจำเลย นาง ก. และนางสาว น. จะกลับบ้าน เป็นเวลาดึกมากแล้ว จำเลยจึงนั่งรถไปส่งบุคคลทั้งสองที่บริษัท การที่จำเลยพาอาวุธปืนไปดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ เพราะไม่แน่ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแต่เป็นกรณีที่สมควรรอการลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการพิจารณาเหตุผลความจำเป็นในการพกพา
จำเลยพาอาวุธปืนไปที่หน้าโรงงานของบริษัทที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้มีอาวุธปืนติดตัวเนื่องจากนางก.พานางสาวน.ไปพบบิดามารดาของจำเลยที่บ้านจำเลยเพื่อเจรจาในการที่จะสู่ขอนางสาวน.เป็นภรรยาจำเลยนางก.และนางสาวน.จะกลับบ้านเป็นเวลาดึกมากแล้วจำเลยจึงนั่งรถไปส่งบุคคลทั้งสองที่บริษัทการที่จำเลยพาอาวุธปืนไปดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์เพราะไม่แน่ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแต่เป็นกรณีที่สมควรรอการลงโทษจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3362/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจย้อนสำนวนของศาลฎีกา แม้มิได้ฎีกาขอสืบพยานเพิ่มเติม หากจำเป็นต่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ พิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ก็ตาม เมื่อคดีปรากฏว่ามีความจำเป็นที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย เพื่อให้การวินิจฉัยคดีเป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงธรรม ศาลฎีกาก็คงมีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแก่คดีจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ประกอบกับมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษายกฟ้องจากเหตุจำเป็นและผลของการกลับคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ซึ่งไม่ต้องรับโทษ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185. แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษและให้คุมประพฤติจำเลย ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้อง และเป็นการยกฟ้องในข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2168/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา: จำเป็นพอสมควรแก่เหตุและการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ซึ่งไม่ต้องรับโทษ. ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185. แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษและให้คุมประพฤติจำเลย. ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟ้อง. และเป็นการยกฟ้องในข้อเท็จจริง. เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดพิพากษายกฟ้อง. กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมต้องไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และต้องเป็นพยานที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยข้อพิพาท
โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนและสืบพยานเสร็จไปแล้วระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมเป็นเพียงคำอธิบายวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบไปแล้วไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับให้นำมาแสดงพยานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติมจึงมิได้เป็นพยาน เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้นทั้งเป็นการระบุอ้างเพิ่มเติมฝ่าฝืน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 จึงไม่ควรรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมต้องไม่ขัดต่อข้อจำกัดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และต้องเป็นพยานที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยข้อพิพาท
โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนและสืบพยานเสร็จไปแล้วระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อเอกสารที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมเป็นเพียงคำอธิบายวิธีปฏิบัติต่างๆซึ่งโจทก์ได้นำสืบไปแล้วไม่ใช่เอกสารที่มีกฎหมายบังคับให้นำมาแสดงพยานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติมจึงมิได้เป็นพยานเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้นทั้งเป็นการระบุอ้างเพิ่มเติมฝ่าฝืน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 จึงไม่ควรรับไว้พิจารณา