คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จ่ายเงิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 49 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9372/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน ธนาคารไม่ต้องรับผิดหากจ่ายเงินถูกต้องตามระเบียบ แม้ลายมือชื่อไม่ตรงกับเอกสาร
คำฟ้องระบุว่าได้มีการเบิกจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า ม. ก็เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของ ม. จึงเป็นการวินิจฉัยว่ามีการเบิกจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินโดยความประมาทเลินเล่อของพนักงานของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องนั่นเอง จึงมิได้วินิจฉัยนอกคำฟ้อง โจทก์ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการส่งตั๋วแลกเงินมาแสดงโดยอ้างว่าทำหาย และยังได้ความต่อไปว่าหลังจากส่งตั๋วแลกเงินไปแล้ว โจทก์ทราบว่ามีผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินไปโดยใช้บัตรประจำตัวคนญวนอพยพของ ก. ที่หมดอายุเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บเงินและลายมือชื่อ ก.ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินเป็นลายมือชื่อปลอม แต่โจทก์เพิ่งแจ้งความหลังจากทราบเหตุแล้วหลายวันซึ่งนับว่าเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องการทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพนั้นการออกบัตรใหม่ให้ ทางสำนักงานทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลจะต้องเรียกบัตรเดิมคืน แสดงว่าถ้า ก.ยังไม่มารับบัตรใหม่ก็ยังไม่ต้องคืนบัตรเก่า จึงน่าเชื่อว่าบัตรเก่ายังคงอยู่ที่ ก.การที่ม. พนักงานรับเงินธนาคารจำเลยที่ 1 เบิกความยืนยันว่าก. กับพวกได้นำตั๋วแลกเงินมาเรียกเก็บเงินโดยนำบัตรประจำตัวที่เป็นบัตรเก่าหมดอายุแล้วมาแสดงจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนเหตุที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินมีชื่อ ก. นั้น เมื่อได้พิเคราะห์ตั๋วแลกเงินกับบัตรประจำตัวของ ก. แล้วปรากฏว่ามีการลงรายการดังกล่าวที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินจริง และตรงกับข้อความในบัตรประจำตัวของ ก. ทุกประการลายมือชื่อของ ก.ที่ลงในตั๋วแลกเงินกับที่ลงในบัตรประจำตัวคนญวนอพยพของก. ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่ ก. โดยถูกต้องตามระเบียบแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7505/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้างเหมา: เริ่มนับเมื่อรับมอบงาน ไม่ใช่เมื่อตกลงจ่ายเงินแต่ละงวด
จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างบ้าน เป็นการจ้างทำของซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ กำหนดอายุความ2 ปี ตามมาตรา 165(1) เดิม จึงต้องเริ่มนับแต่เมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบการที่ทำ อันเป็นเวลาที่ผู้รับจ้างอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 169 เดิม แม้ตามสัญญาจ้างกำหนดเงื่อนไขการจ่ายค่าจ้างว่าจ่ายเงินในแต่ละงวดมุ่งถึงความสำเร็จของงานเป็นหลักก็ตามแต่เมื่อจำเลยยังมิได้รับมอบการที่ทำในงวดที่ 3 และที่ 4 โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาสินจ้าง อายุความเรียกเอาสินจ้างของโจทก์งวดที่ 3 และที่ 4 จึงยังไม่เริ่มนับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดของเจ้าหน้าที่ตรวจรับงาน การจ่ายเงินค่าจ้างโดยไม่ได้รับมอบงานครบถ้วน และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
โจทก์ได้รับโอนกิจการทรัพย์สิน หนี้สินและเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารฯ เป็นการโอนโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิในการฟ้องผู้ต้องรับผิดตามสัญญาจ้างเหมาและผู้ทำละเมิดเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงโอนมาเป็นของโจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ไปร่วมงานศพของ พ. กับ ม. โดยตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลมีสภาจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินกิจการส่วนจังหวัด ถือได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและได้รู้ถึงการตายของ พ. กับ ม. แล้วโจทก์ซึ่งรับโอนกิจการทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลมาจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดฟ้องจำเลยที่ 4 และที่ 5 ในฐานะทายาทของ พ.กับ ม. เมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดรู้ถึงความตายของ พ. กับ ม. ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ตามระเบียบของทางราชการ คณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงไม่ใช่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง หากโจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้น 1 ปี หลังจากที่เลขาธิการโจทก์ทราบการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดทางแพ่ง คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในฐานะกรรมการตรวจการจ้างทำครุภัณฑ์มิได้ไปตรวจรับงาน ณ สถานที่ส่งมอบและผู้รับจ้างยังส่งงานไม่ครบด้วยแต่กลับทำบันทึกการตรวจรับงานเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าผู้รับจ้างได้สร้างงานตามสัญญาถูกต้อง สมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้าง ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้รับมอบครุภัณฑ์จากผู้รับจ้างครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา แต่ต้องชำระเงินให้แก่ผู้รับจ้างไปก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการทำละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดต่อหน้าที่กรรมการตรวจรับงาน การจ่ายเงินค่าจ้างโดยไม่ได้รับมอบงานครบถ้วน ความรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ได้รับโอนกิจการทรัพย์สินหนี้สินและเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารฯเป็นการโอนโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สิทธิในการฟ้องผู้ต้องรับผิดตามสัญญาจ้างเหมาและผู้ทำละเมิดเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงโอนมาเป็นของโจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ไปร่วมงานศพของ พ. กับ ม. โดยตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดพ.ศ.2498บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลมีสภาจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินกิจการส่วนจังหวัดถือได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและได้รู้ถึงการตายของ พ. กับ ม. แล้วโจทก์ซึ่งรับโอนกิจการทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลมาจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดฟ้องจำเลยที่4และที่5ในฐานะทายาทของ พ.กับ ม. เมื่อพ้นกำหนด1ปีนับแต่วันที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดรู้ถึงความตายของ พ. กับ ม. ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754 ตามระเบียบของทางราชการคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงไม่ใช่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งหากโจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้น1ปีหลังจากที่เลขาธิการโจทก์ทราบการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดทางแพ่งคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่1ถึงที่3ในฐานะกรรมการตรวจการจ้างทำครุภัณฑ์มิได้ไปตรวจรับงานณสถานที่ส่งมอบและผู้รับจ้างยังส่งงานไม่ครบด้วยแต่กลับทำบันทึกการตรวจรับงานเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าผู้รับจ้างได้สร้างงานตามสัญญาถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับมอบครุภัณฑ์จากผู้รับจ้างครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่ต้องชำระเงินให้แก่ผู้รับจ้างไปก่อนการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการทำละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7212/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยค่าทดแทนเวนคืน: เริ่มนับเมื่อใดตาม พ.ร.บ.เวนคืนฯ
เมื่อศาลวินิจฉัยให้จำเลยชำระเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นแก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้น ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 26วรรคท้าย คดีนี้ไม่มีการวางเงินค่าทดแทน ดังนั้นวันที่เริ่มต้นคิดดอกเบี้ยคือวันที่ต้องมีการจ่ายเงินค่าทดแทน ซึ่งมาตรา 11 วรรคแรก บัญญัติว่าในกรณีที่มีการตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันได้ตามมาตรา 10 ให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2531 จำเลยจึงต้องจ่ายเงินค่าที่ดินที่ถูกเวนคืนแก่โจทก์ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2531 คือภายในวันที่6 กรกฎาคม 2531 ซึ่งเป็นวันที่ต้องมีการจ่ายเงินค่าทดแทนตามมาตรา 26 วรรคท้ายจำเลยจึงต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2531
โจทก์ฎีกาว่าคณะกรรมการปรองดองและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยขาดความรอบคอบและไม่เป็นธรรมโดยโจทก์ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไรบ้าง และที่ถูกต้องทั้งตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้กล่าวโดยชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับมอบเอกสารปลอมและจ่ายเงินให้ผู้นำมาส่งมอบ มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยรับมอบเอกสารของกลางและจ่ายเงินให้ผู้นำมาส่งมอบโดยจำเลยทราบดีว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ซึ่งแม้การที่จำเลยต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้นำมาส่งมอบจะทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีส่วนร่วมในการปลอมเอกสารและรอยตราในเอกสาร การกระทำของจำเลยเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ ตาม ป.อ. มาตรา 84 ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตามป.อ. มาตรา 84 แต่ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานตัวการร่วมกระทำผิด ตาม ป.อ. มาตรา 83 จึงแตกต่างจากที่ปรากฏในทางพิจารณาในสาระสำคัญ ลงโทษจำเลยฐานผู้ใช้ไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสองแต่การกระทำของจำเลยซึ่งยังถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5379/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินและการบังคับตามสัญญา ต้องมีเจตนาชัดเจนในการซื้อขาย การจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ถือเป็นการซื้อขาย
โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินโจทก์เฉพาะส่วนที่จำเลยรุกล้ำตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้วไม่ชำระราคาตามกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยกล่าวแก้ว่าส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำจำเลยครอบครองมาตั้งแต่ได้รับยกให้ โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน เพื่อไม่ให้ต้องดำเนินคดีกัน จำเลยยินยอมให้เงินโจทก์ 2,000 บาทได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ ปรากฏว่าตามสัญญาเอกสารหมายจ.1 ไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นการซื้อขาย คงมีแต่เพียงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ใน 60 วัน และไม่มีข้อความใดระบุว่าถ้าหากจำเลยไม่ใช้เงินแก่โจทก์ตามกำหนดแล้ว คู่สัญญาต้องปฏิบัติอย่างไรต่อกันจึงต้องถือเอาเจตนาในการเข้าทำสัญญาระหว่างกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อนี้ ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อขายที่ดินส่วนที่รุกล้ำนั้นจำเลยปฏิเสธว่าให้เงินเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีแก่กัน ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบตามข้อกล่าวอ้าง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะซื้อที่ดินของโจทก์ ศาลจึงบังคับขับไล่จำเลยตามฟ้องไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดหยุดเมื่อจำเลยรับสภาพหนี้ สัญญาจ้างเหมาแบบปรับราคา จำเลยต้องจ่ายเงินค่าปรับตามสัญญา
โจทก์มีหนังสือขอเบิกเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาไปยังจำเลย จำเลยได้มีหนังสือตอบโจทก์แจ้งว่า ยังไม่อาจพิจารณาค่าปรับราคาได้จนกว่าจะได้มีการแยกรายละเอียดราคาแต่ละประเภทงาน ซึ่งขณะนี้จำเลยกำลังดำเนินการอยู่ เมื่อทราบผลแล้วจะได้รีบพิจารณาค่าปรับราคาให้โจทก์ต่อไป ข้อความตามหนังสือของจำเลยดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาจริง เป็นการยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยแล้ว อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือของจำเลย
การที่อายุความสะดุดหยุดลงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2523 อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลย แล้วต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า ไม่สามารถจ่ายเงินค่าปรับราคาตามสัญญาให้โจทก์ได้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2524 นั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงได้สิ้นสุดและเริ่มนับขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2524 เป็นต้นไป ดังนี้ เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของอันมีอายุความ 2 ปี การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2525 ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
กรณีที่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ หาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าปรับราคาให้โจทก์ตามสัญญาจำเลยจะอ้างว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้แยกรายละเอียดประเภทของงานไว้ จำเป็นต้องแก้ไขสัญญาเดิม แต่ไม่ได้รับอนุมัติให้แก้ไขสัญญา เพราะการแก้ไขเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียประโยชน์อันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องภายในของจำเลย มาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ควรได้รับค่าปรับราคาตามสัญญาเป็นเงิน 2,458,000 บาท จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างไร คงฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเท่านั้น โจทก์จึงควรได้เงินค่าปรับราคาตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษจากกองทุนเงินบำรุงความสุขของลูกจ้าง จำเลยมีสิทธิกำหนดหลักเกณฑ์และจ่ายตามระเบียบ หากได้จ่ายแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเพิ่มเติม
การจ่ายเงินบำรุงความสุขเป็นเงินบำเหน็จพิเศษแก่ลูกจ้างตามระเบียบการขนส่งของการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2499 นั้น จะต้องมีคณะกรรมการของจำเลยเป็นผู้พิจารณาและกำหนดจำนวนเงิน แต่การจ่ายเงินบำรุงความสุขเป็นเงินบำเหน็จพิเศษนี้ กฎหมายไม่ได้บังคับให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างจะต้องจ่าย จำเลยจะออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการจ่ายอย่างไรก็ชอบที่จะทำได้ เมื่อคณะกรรมการของจำเลยได้พิจารณาแล้วกำหนดจำนวนเงินบำเหน็จพิเศษให้แก่โจทก์แต่ละคนรับไปแล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยได้จ่ายเงินบำเหน็จพิเศษให้แก่โจทก์ตามระเบียบการขนส่งของจำเลยโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเงินบำเหน็จพิเศษจากจำเลยอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3554/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงโดยหลอกลวงให้เสียทรัพย์สิน แม้จ่ายเงินคราวเดียวกัน ก็ถือเป็นความผิดหลายกรรม
จำเลยพูดชักชวนหลอกลวง จ.และ ส.คนละคราว แม้จะได้จ่ายเงินค่าบริการของแต่ละคนให้จำเลยไปคราวเดียวกัน ก็เป็นความผิดหลายกรรม
of 5