พบผลลัพธ์ทั้งหมด 45 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5573/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองฎีกาข้อเท็จจริง: ดุลพินิจผู้พิพากษาและแบบวิธีการตามมาตรา 248 วรรคสี่
การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นดุลพินิจของผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสี่ที่บัญญัติว่าการขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ให้ผู้ยื่นฎีกายื่นคำร้องพร้อมฎีกานั้นเป็นเพียงแบบวิธีการขอให้รับรองดังนี้แม้ผู้ฎีกายังไม่ยื่นคำร้องและฎีกาผู้พิพากษาดังกล่าวย่อมใช้ดุลพินิจรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริงไว้ในคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของผู้ฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบมูลหนี้เดิมและการฟ้องเกินคำขอท้ายฟ้อง รวมถึงข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์แต่โจทก์นำสืบว่าเดิมภริยาของจำเลยกู้เงินโจทก์ไปต่อมาจำเลยยอมทำสัญญากู้พิพาทให้โจทก์เป็นการนำสืบถึงมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นรายละเอียดโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายในฟ้องก็ได้การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก็ไม่เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง จำเลยฎีกาว่ามีการนำดอกเบี้ยผิดกฎหมายรวมในสัญญากู้เป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่การวินิจฉัยต้องอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างฟังเป็นยุติแล้วว่าโจทก์เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้พิพาทเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ฎีกาจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนชื่อออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และการโต้แย้งสิทธิในที่ดินมรดก รวมถึงข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แสดงให้เห็นว่า โจทก์ที่ 3มิได้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในที่ดินพิพาท อันจะมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้เท่านั้น หาได้เป็นการวินิจฉัยในเรื่องแบ่งปันที่ดินพิพาท จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด
ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจาก น.ส.3 ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 3 และ ท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 3 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง นอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่า พินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ. ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่ 3 เท่านั้น มิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน
ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคน คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่ 3 ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่า โจทก์ที่ 3 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังฎีกาอีกว่า ท.ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ที่ 1และที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่ 3 ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ที่ 3 และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้ โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน-พิพาท ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท.ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ส่วนที่โจทก์ทั้งสามขอให้ถอนชื่อ ท. ออกจาก น.ส.3 ก.สำหรับที่ดินพิพาทนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 3 และ ท. มีสิทธิในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนชื่อ ท. ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทได้ ย่อมมีผลเท่ากับยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 3 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง นอกจากนี้ที่โจทก์ทั้งสามขอให้พิพากษาว่า พินัยกรรม ท. ใช้บังคับไม่ได้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ จ. ย่อมมีผลเท่ากับพินัยกรรมใช้บังคับได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำขอเฉพาะโจทก์ที่ 3 เท่านั้น มิได้พิพากษาให้ยกคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเช่นกัน
ที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 3 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ทุกคน คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์ที่ 3 ขาดอายุความหรือไม่เพราะศาลต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อนว่า โจทก์ที่ 3 ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. หรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนอกจากนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังฎีกาอีกว่า ท.ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวจึงไม่อาจทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าสิทธิของตนที่พึงจะได้รับตามกฎหมายในฐานะทายาทของ จ. ขอให้ศาลพิพากษากลับและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นก็เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาว่า ท.มีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียงครึ่งหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ปรากฏว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ที่ 1และที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ จ. การที่โจทก์ที่ 3 ได้ร่วมทำกินกับ ท. ก็ไม่อาจก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ที่ 3 และไม่อยู่ในฐานะที่จะขอแบ่งที่ดินพิพาทได้ โจทก์ทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดิน-พิพาท ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังมาจึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่าท.ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ.2519 แล้ว โจทก์ทั้งสามไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง นั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาข้อเท็จจริงในคดีทรัพย์สินที่มีราคาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีราคา 60,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: ทรัพย์พิพาท, การจดทะเบียน, ข้อเท็จจริงนอกสำนวน
คดีมีทุนทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ 180,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง การที่ผู้ร้องฎีกาว่า ทรัพย์พิพาทยังไม่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514เป็นฎีกาที่โต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าทรัพย์พิพาทได้จดทะเบียนแล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามฎีกาของผู้ร้องมิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงใดที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2483/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตฎีกาข้อเท็จจริงต้องมีปัญหาสำคัญสู่ศาลสูงสุด มิฉะนั้นเป็นคำรับรองที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้รับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ว่า "ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ศาลอนุญาตให้ฎีกาข้อเท็จจริงได้"เป็นคำรับรองที่ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 เพราะไม่ได้ความว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3508/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานบอกเล่า และการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้ไม่ต้องห้าม แต่มีน้ำหนักน้อยต้องมีพยานหลักฐานอื่นประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้ การที่จะรับฟังพยานหลักฐานใดเป็นการเพียงพอลงโทษได้หรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง วาน ใช้ ไม่ใช่จำเลยร่วมเป็นตัวการด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองกลับฟังว่าจำเลยเป็นตัวการ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ เป็นฎีกาเพื่อให้ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะการปรับบทลงโทษโดยระบุวรรคของมาตราที่ลงโทษให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง วาน ใช้ ไม่ใช่จำเลยร่วมเป็นตัวการด้วย แต่ศาลล่างทั้งสองกลับฟังว่าจำเลยเป็นตัวการ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ เป็นฎีกาเพื่อให้ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะการปรับบทลงโทษโดยระบุวรรคของมาตราที่ลงโทษให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาข้อเท็จจริง: อายุความเช็ค - การอ้างข้อเท็จจริงใหม่นอกเหนือจากที่ศาลล่างวินิจฉัย
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า เช็คพิพาทลงวันที่ 23 ธันวาคม 2519 โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาทเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2520 คดียังไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คโดยไม่ลงวันที่ มอบให้บิดาโจทก์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 แล้ว ดังนี้ ปัญหาว่าเช็คถึงกำหนดเมื่อไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาในฎีกาว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2508 เป็นการกล่าวอ้างนอกเหนือจากศาลล่างวินิจฉัยไว้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความอีกทีหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้าม: โจทก์ขอให้ลงโทษจำคุก แม้ศาลอุทธรณ์ให้รอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน 15 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษไว้ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกไปเลย ดังนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่ออ้างว่าคดีมีมูลโดยไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลล่าง และฎีกาข้อเท็จจริงได้เมื่อศาลล่างพิพากษาโดยข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยอ้างว่าคดีขาดอายุความแล้ว โจทก์ฎีกาว่าการนำสืบของโจทก์สำหรับข้อหาทั้งสองข้อเท็จจริงพอฟังว่าคดีมีมูลดังนี้ ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อหานำสืบแสดงพยานหลักฐานเท็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วว่าเอกสารที่จำเลยนำสืบเป็นเอกสารปลอมและในข้อหาเบิกความเท็จ วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จในตอนใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาทั้งสองนี้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอกสารนั้นปลอม จำเลยเบิกความว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงไปตามความเชื่อของตนดังนี้ เป็นการวินิจฉัยในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 และด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานเพิ่มเติม
ข้อหานำสืบแสดงพยานหลักฐานเท็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วว่าเอกสารที่จำเลยนำสืบเป็นเอกสารปลอมและในข้อหาเบิกความเท็จ วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จในตอนใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาทั้งสองนี้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอกสารนั้นปลอม จำเลยเบิกความว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงไปตามความเชื่อของตนดังนี้ เป็นการวินิจฉัยในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 และด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานเพิ่มเติม